วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

มารู้จักกับ Tranexamic Acid อีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้ผิวขาว

Tranexamic Acid

เพราะเรื่องความดำของผิวนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กๆสำหรับผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นปัญหาที่สร้างความหนักใจให้อยู่พอสมควร หลายๆคนจึงต้องสรรหาวิธีเพื่อที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้ ซึ่งในปัจุบันนี้มีมากมายหลากหลายวิธีก็แล้วแต่ว่าเราจะเลือกใช้วิธีใดก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเอง ว่าจะเหมาะกับผิวของเราหรือไม่ และวันนี้เรามีอีกหนึ่งวิธีมาแนะนำ ซึ่งในตอนนี้ถือได้ว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับการดูแลผิว ซึ่งนั้นก็คือ Tranexamic Acid เชื่อได้ว่าหลายคนอาจจะไม่เคยได้รู้จัก ถ้าอย่างงั้นเราก็มาทำความรู้จักกับ Tranexamic Acid กัน ว่ามันคืออะไร และสามารถช่วยให้ผิวของเราขาวได้อย่างไร

Tranexamic Acid คืออะไร

Tranexamic acid เป็นตัวยาที่ใช้ในการรักษาโรคเป็นเวลานานแล้วกว่า 30 ปีที่ผ่านมา โดยในฝั่งเอเชียTranexamic acid มีชื่อเรียกว่า Transamin หรือ Transcam แต่ในฝั่งอเมริกาใต้จะใช้ชื่อว่า Espercil โดยใช้รักษาคนไข้ที่มีอาการเลือดออกเป็นจำนวนมาก ไหลไม่หยุด หรือภาวะที่ผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น โดย Tranexamic acid จะทำให้เกล็ดเลือดแข็งตัว เลือดจึงหยุดไหล แต่ปัจจุบันนี้ได้นำมาใช้ในการรักษาผิวให้ขาวสดใสได้ด้วย เพราะในตัวของ Tranexamic Acid นั้นมีสารสำคัญอย่าง lysine ซึ่งเข้าไปยับยั้งการผลิตเม็ดสีผิว และช่วยลดฝ้า กระและจุดด่างดำได้ มีคุณสมบัติในการยับยั้งการหลั่งของ arachidonic acid และการสร้าง prostaglandins จึงทำให้การทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างเม็ดสีลดลง จึงสามารถป้องกันการเกิดรอยดำจากการกระตุ้นของรังสียูวีได้

ดังนั้นแล้วสรุปว่า Tranexamic acid สามารถยับยั้งกระบวนการสร้างเมลานิน (Melanin produce) โดยกลไกการแข่งขันยับยั้งกิจกรรมของพลาสมิโนเจน แอคทีเวเตอร์ จึงทำให้สาร Tranexamic Acidมีคุณสมบัติในการลดจุดด่างดำ รอยหมองคล้ำ และเป็น Whittening agent ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม

คุณสมบัติของทรานซามีน Tranexamic acid ในการบำรุงผิว...

ทรานซามิน ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งกระจ่างใส โดยทำงานเข้ากับเชลล์ผิวชั้นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไป ทำหน้าที่ในการควบคุมการสื่อสารระหว่างเซลล์ส่วนเกิน และจำกัดการผลิตเมลานิล โมเลกุลที่มีประสิทธิภาพหลากหลายในหนึ่งเดียว หรือ Polyactive โดยสามารถยับยั้งการเกิดจุดด่างดำทั้งก่อนและระหว่างกระบวนการเกิดจุดด่างดำบนผิว ประการแรกคือควบคุมกระบวนการผลิตเมลานินให้อยู่ในระดับปกติ ประการที่สองคือ ปลอบประโลมและควบคุมเซลล์ผิวที่อักเสบเรื้อรังจากความเครียดไม่ให้แพร่กระจายและกลายเป็นเมลาโนไซค์ที่ส่งสัญญานให้ผลิตเมลานินเพิ่ม ด้วยสองกระบวนการนี้ การผลิตเมลานินของผิวหนังจึงถูกปรับให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับผิวสุขภาพดี

กลไกการทำงานของ Tranexamic acid

Tranexamic acid มีคุณสมบัติควบคุมการผลิตเม็ดสีเมลานินให้อยู่ในระดับสมดุล ผิวจึงได้รับการฟื้นฟูความขาวกระจ่างใสอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันการเกิดรอยดำจากการกระตุ้นของรังสียูวีได้ และสามารถลดเลือนฝ้า กระ อย่างได้ผล

แล้วความขาวที่หลายๆคน ใฝ่ฝันก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่การใช้ยาทรานซามีนนั้น ก็ต้องมีข้อจำกัดเช่นกัน เพราะเนื่องด้วย Tranexamic acid นี้มีไว้สำหรับการรักษาอาการห้ามเลือด การใช้ทรานซามีน Tranexamic acid ถึงแม้จะได้ผลทำให้คนใช้รู้สึกพึงพอใจกับผิวพรรณที่ขาวขึ้น แต่ว่าก็ไม่สามารถใช้ได้กับคนทุกคน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคเลือดออกในสมอง ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร และผู้สูงอายุที่ห้ามใช้ สำหรับทรานซามีน Tranexamic acid ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเลยที่เดียว....

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Alpha-Arbutin สารสกัดจาก Bearberry....มหัศจรรย์แห่งผิวขาวกระจ่างใส

อัลฟ่า อาร์บูติน Alpha-Arbutin

เชื่อได้ว่าในปัจุบันนี้หลายคนคงจะให้ความสนใจในเรื่องของการบำรุงผิวกันมาก ว่าทำอย่างไร แลพมีวิธีอย่างไรที่จะทำให้ผิวกาย และผิวหน้าของเรานั้น ให้ขาวกระจ่างใส ดูเรียบเนียนและมีออร่า ถ้าเกิดว่าใครได้ลองค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องความสวยความงามแล้วล่ะก็ ก็คงจะเคยได้อ่านเจอกับเจ้าอัลฟ่าอาร์บูติน( Alpha-Arbutin) อยู่บ้างที่ตอนนี้ถือได้ว่าเป็นส่วนผสมที่มีอยู่แทบทุกผลิตภัณฑ์ในการบำรุงผิวหน้า เพราะด้วยสรรพคุณที่เด่นในการช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส วันนี้เราจะพามารู้จักกับเจ้าเจ้าอัลฟ่าอาร์บูติน( Alpha-Arbutin) ให้มากขึ้น ว่ามันมีลักษณะเป็นอย่างไร มีประโยชน์ต่อผิวพรรณอย่างไรบ้าง

อัลฟ่า อาร์บูติน(Alpha-Arbutin) คืออะไร ?

อัลฟ่า อาร์บูติน(Alpha-Arbutin)คือสารสกัดจาก Bearberry ซึ่งเจริญเติบโตในแถบซีกโลกเหนือ สามารถพบได้มากในแถบรัฐวิสคอนซิน และ นิวเจอร์ซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา และบางพื้นที่ในแคนาดา ที่เป็นอนุพันธ์ของสารพวก Hydroquinone ให้ผลได้ดีที่สุดชนิดหนึ่งสำหรับการลดความหมองคล้ำ ลดเลือนจุดด่างดำ กระ หรือปื้นฝ้าบนใบหน้า มักพบได้ในผลิตภัณฑ์ Whitening ระดับสูง เนื่องจาก Alpha-Arbutin มีราคาที่สูง และมีคุณสมบัติเหนือกว่า Whitining อื่นๆ ในท้องตลาดมาก

อัลฟ่า อาร์บูติน Alpha-Arbutin ทำงานอย่างไร ?

อัลฟ่าอาร์บูตินทำหน้าที่ยับยั้งเอ็นไซม์ Tyrosine และ DOPA ในกระบวนการ oxidation (การสร้างอนุมูลอิสระ) ซึ่งเป็นผลเสียโดยตรงต่อผิวพรรณของคนเราทุกคน อีกทั้งยังยับยั้งการผลิตเม็ดสีหรือที่เราได้ยินคุ้นหูกันว่า Melanin ตัวอย่างง่ายๆที่ชัดเจนของกระบวน oxidation ดังกล่าว สังเกตุได้จากเปลือกผลไม้ต่างๆที่วางทิ้งไว้นานๆจะเปลี่ยนเป็นสีดำหรือ น้ำตาล สาเหตุนี้ก็เพราะว่าผลไม้ก็มีเอ็นไซม์ Tyrosine. เช่นเดียวกับผิวหนังของคนเรา ซึ่งในกระบวนการยับยั้งการ oxidation แบบนี้ ถือได้ว่าเป็นกระบวนการที่ได้ผลที่สุดในขณะนี้ในเรื่องของการช่วยให้ผิวกระจ่างใสและขาวเนียนยิ่งขึ้น และได้ผลด้านการยับยั้งการแก่ตัวของผิวพรรณในระยะยาว อัลฟ่าอาร์บูตินจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องสำอางที่ช่วยในเรื่องทำให้ผิวสว่าง ขาวใส และที่สำคัญอัลฟ่าอาร์บูตินนั้นไม่ส่งผลกระทบในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวแต่อย่างใด จึงไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ผิวของคุณบางลงเหมือนกรดผลไม้ (AHA), Retin-A, หรือกรดวิตามินเอตัวอื่นๆ (กรดที่กล่าวมาทำให้ผิวบางจากการผลัดเซลล์ผิว แต่อัลฟ่าอาร์บูตินนั้น ไปยับยั้งในผลิตเมลานินในระดับเซลล์ จึงไม่เกี่ยวอะไรกับการทำให้ผิวบางลง)

คุณสมบัติของ อัลฟ่า อาร์บูติน Alpha-Arbutin
  • ช่วยให้ผิวหน้ามีสุขภาพผิวที่ดี ผุดผ่อง กระจ่างใสขึ้น เนื่องจาก Alpha Arbutin มีกลไกการทำงานที่พุ่งตรงไปที่การเปลี่ยนแปลงเม็ดสีผิวของเรา ทำให้ผิวเราขาวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต่างจากสาร Whittenning บางตัว ที่เน้นการทำหน้าขาวด้วยการผลัดเซลผิว ซึ่งมีผลทำให้หน้าระคายเคือง แห้ง ลอก
  • ลดเลือนจุด ริ้วรอย ด่างดำ บนใบหน้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลชัดเจนในระยะเวลาไม่นาน
  • ไม่ทำให้ผิวบาง ลอก เป็นขุย Alpha Arbutin เป็นสารที่เข้าไปยับยั้งจากที่ต้นกำเนิดที่ทำให้ผิวเราดำ คือ เข้าไปจัดการที่ตัวเมลานินโดยตรง ซึ่งทำให้เวลาเราทาครีมที่มีส่วนผสมของ Alpha Arbutin เข้าไปแล้วจะไม่ทำให้หน้าเราแห้งลอกเหมือนกับการทาครีมแบบทั่วไป
  • ไม่ส่งผลเสียในเรื่องทำให้ผิวบาง ผิดกับกรดหรือสารทำให้ผิวขาวกระจ่างใส ตัวอื่นๆ
  • อ่อนโยนเหมาะกับคนผิวแพ้ง่าย Alpha Arbutin เป็นสารที่ค่อนข้างอ่อนโยนสูง อ่อนโยนกว่าสาร Whittening ตัวอื่นๆ ทำให้เหมาะกับคนที่อยากหน้าขาวแต่ไม่ถูกกับพวก AHA , BHA , หรือวิตามินซี ซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ง่ายกว่า
  • ลดความหมองคล้ำจากการที่ผิวได้รับรังสี UV จากการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน
อัลฟ่า อาร์บูติน Alpha-Arbutin ช่วยผิวขาว

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) มหัศจรรย์แห่งพืชธรรมชาติ

เชียบัตเตอร์ (Shea Butter)

สำหรับ เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) เชื่อได้ว่าหลายคนอาจจะคุ้นหูกับชื่อนี้คำว่ากันมาบ้างแล้ว เพราะในปัจุบันพวกครีมบำรุงผิวกายและผิวหน้าที่ใช้กันอยู่เป็นประจำนั้น มักจะใส่เชียร์ บัตเตอร์ผสมลงไปด้วย ซึ่งเจ้าสิ่งนี้แหละที่จะช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านให้กลับนุ่มนิ่มมีน้ำมีนวล แถมยังมีวิตามินที่มีประโยชน์หลากหลายอยู่ในนั้น และถ้าหากใครที่ยังไม่รู้จักกับเชียร์บัตเตอร์ดีมากนัก ว่ามันคืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร และช่วยบำรุงผิวของเราได้ดีขนาดไหนกัน วันนี้เราจะข้อมูลดีๆเกี่ยวกับ เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) มาให้หลายๆคนได้หายสงสัยกัน..มาดูกันเลย

เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) คืออะไร?

เชียบัตเตอร์เป็นสารสกัดธรรมชาติ จากเชีย นัท (Shea Nut) เมล็ดที่ได้จากต้น African Shea Tree อันเป็นพืชพื้นเมืองของพวกชาวแอฟริกา คุณค่าทางโภชนาการที่ได้จากน้ำมันเชีย เหมือนสมุนไพรชนิดพิเศษที่ให้วิตามิน A, D, E, F, โปรตีนและใยอาหาร สามารถเข้าดูแลถึงชั้นผิวในสุด ช่วยฟื้นฟูผิว ปกป้องเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย ผิวแห้ง ผิวแตก และช่วยลบรอยเหี่ยวย่น กระตุ้นเซลล์ผิวให้มีชีวิตชีวา ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอย่างอ่อนโยน ช่วยฟื้นฟูผิวจากรอยแผลเป็น ต่อต้านการอักเสบจากรอยแผล

ลักษณะของเชียบัตเตอร์ (Shea Butter) เป็นอย่างไร ?

เชียบัตเตอร์เมื่อสกัดออกมาแล้วจะมีลักษณะอ่อนนุ่มคล้ายเรซิ่น มีสีค่อนไปทางเหลืองหรือขาวและมีกลิ่นอโรมา ภายในจะมีส่วนประกอบทางเคมี ได้แก่ กรดพาลมิติก, กรดสเตียริก, กรดโอเลอิก, และกรดไลโนลีนิก ซึ่งเป็นกรดไขมันตามธรรมชาติทั้งอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว

และเนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวปริมาณมาก จึงทำให้เชียบัตเตอร์มีคุณสมบัติเป็นสารให้ความชุ่มชื้น หรือมอยเจอไรเซอร์ที่ดีเยี่ยมนั่นเอง มันก็เลยถูกนำไปใส่ไว้ในเครื่องสำอางต่างๆ ทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า โลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับมือ ลิปสติก เครื่องสำอางแต่งหน้า และผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งแพ้ง่าย

ประโยชน์ของเชียบัตเตอร์ (Shea Butter)
  • อุดมไปด้วยวิตามิน A ในเชียร์ บัตเตอร์ จะอุดมไปด้วยวิตามินเอในธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยและป้องกันริ้วรอยให้เกิดขึ้นช้าลงได้ด้วย ใครที่กลัวผิวหนังเหี่ยวย่นหรือแก่ก่อนวัย อย่ารอช้ารีบเลือกเชียร์ บัตเตอร์มาบำรุงผิวกันเลย
  • อุดมไปด้วยวิตามิน E นอกเหนือไปจากวิตามินเอแล้ว ในเชียร์บัตเตอร์ก็ยังอุดมไปด้วยวิตามินอี ที่หลายคนชอบนำมาบำรุงเพื่อให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นอีกด้วย อีกทั้งในสกินแคร์และครีมบำรุงผิวส่วนใหญ่ก็มีส่วนผสมของวิตามินอี ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยปกป้องผิวไม่ให้แห้งเสียจากการโดนแสงแดดทำร้าย
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนัง เชียร์ บัตเตอร์ ก็เปรียบเหมือนกับเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและรักษาโรคผิวหนังไปด้วยในคราวเดียวกัน ซึ่งในเชียร์ บัตเตอร์มีวิตามินหลากหลายชนิดและกรดไขมัน ที่จะช่วยรักษาโรคผิวหนังเมื่อเกิดอาการคันหรือมีผื่นแดง นอกจากวิตามินหลากหลายและกรดไขมันแล้ว เชียร์ บัตเตอร์ยังมีคุณสมบัติช่วยต่อต้านการอักเสบอีกด้วย
  • มีกรดซินนามิกช่วยป้องกันยูวี รู้หรือไม่ว่า ในเชียร์ บัตเตอร์มีกรดซินนามิก ที่จะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีตัวการร้ายทำลายผิว โดยอาจพูดได้ว่าเชียร์ บัตเตอร์คือครีมกันแดดจากธรรมชาตินั่นเอง อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยฟื้นฟูเซลล์ใหม่ ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวของคุณดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์
  • มีกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ ในเชียร์ บัตเตอร์ ประกอบด้วยกรดไขมัน 5 ชนิด ทั้งกรดปาลมิติ (Palmitic Acid), กรดสเตียริก (Stearic Acid), กรดโอเลอิก (Oleic Acid), กรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) และกรดอะราคิโดนิก (Arachidonic Acicd) ซึ่งกรดเหล่านี้แหละจะช่วยให้คุณมีผิวยืดหยุ่นและอ่อนนุ่มน่าสัมผัส
  • ช่วยรักษาสิว แม้ว่าในเชียร์ บัตเตอร์จะอุดมไปด้วยกรดไขมัน แต่มันก็ยังเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีต่อผิวเป็นสิว เพราะมันจะไม่เข้าไปอุดตันรูขุมขน อีกทั้งยังมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะต่อต้านกับเชื้อโรคที่ทำให้เกิดสิว ที่สำคัญเชียร์ บัตเตอร์ยังช่วยลดรอยแดงรอยดำที่เกิดจากสิวด้วย
  • บรรเทาผิวหนังที่ด้านหนา ผิวหนังที่ด้านหนา อย่างพวกตามข้อศอก ตาตุ่ม หรือในส่วนต่าง ๆ ที่ไม่อ่อนนุ่ม เมื่อสัมผัสไปแล้วก็รู้สึกรำคาญใจ ปัญหานี้สามารถใช้เชียร์ บัตเตอร์เข้ามาช่วยให้ผิวอ่อนนุ่มลงได้ ใครที่มีปัญหานี้ก็ลองนำเชียร์ บัตเตอร์มาบำรุงผิวดูนะ รับรองว่านุ่มน่าสัมผัสกว่าเดิมแน่นอน

ประโยชน์เยอะจริง ๆ เลยนะ สำหรับเชียบัตเตอร์ (Shea Butter) และนี้ล่ะจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงพบเจ้าเชียบัตเตอร์ตัวนี้อยู่ในเครื่องสำอางมากมาย ก็เพราะว่ามันมีประโยชน์แถบจะครอบจักรวาลนี่เอง ขอยกให้เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) เป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับผิวเลยก็ว่าได้ จริงไหมค่ะ...

เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) บำรุงผิว

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Allantoin สารสกัดจาก ต้นคอมเฟรย์....ต้นไม้มหัศจรรย์ช่วยบำรุงผิว

เมื่อพูดถึงการบำรุงผิวแล้ว หลายคนคงมีความคิดที่จะอยากบำรุงผิวของคุณด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากพืชธรรมชาติกันทั้งนั้น เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการบำรุงผิวหน้าจากสารธรรมชาตินั้นจะดีกว่าการใช้สารเคมีเป็นแน่ ทั้งปลอดภัยและไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผิวของคุณ มั่นใจได้ว่าสวยและปลอดภัยอย่างแน่นอน วันนี้เราจึงมีความรู้ดีๆมาฝากสำหรับใครที่อยากจะบำรุงผิวหน้าจากสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติ นั่นก็คือ Allantoin สารสกัดจาก ต้นคอมเฟรย์ (Comfrey )


เชื่อได้ว่าหลายคนคงจะไม่รู้จักว่าต้นคอมเฟรย์ (Comfrey ) มีลักษณะเป็นอย่างไร และจะสามารถช่วยบำรุงผิวเราได้อย่างไร งั้นก็ตามมาดูกันเลย

ต้นคอมเฟรย์....ต้นไม้มหัศจรรย์ช่วยบำรุงผิว

ต้นคอมเฟรย์(Symphytum Officinale) เป็นไม้พุ่มสูงมีระบบรากลึกจึงสามารถดึงแร่ธาตุจากด้านล่างพื้นดินขึ้นมาได้มากมีประโยชน์หลากหลาย ในทาง cosmetics ได้สกัดสารอินทรีย์โมเลกุลเล็กชื่อแอลแลนโทอิน(Allantoin) จากต้นคอมเฟรย์ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการเจริญเติบโตและซ่อมแซมของเซลล์ผิวหนัง และยังมีฤทธิ์ระงับการอักเสบ สามารถช่วยห้ามเลือดและสมานแผลไฟลวกและแผลอื่นๆของผิวหนังได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้การใช้สารสกัดคอมเฟรย์ควรจำกัด ใช้แต่ทาภายนอกไม่ควรรับประทาน


Allantoin สารสกัดจาก ต้น Comfrey

Allantoin เป็นสารสังเคราะห์ โดยสามารถเกิดขึ้นตามธรรมชาติในต้น Comfrey ถูกใช้อย่างแพร่หลายในเครื่องสำอางค์และยา โดยทำหน้าที่ ลด การระคายเคือง ต่อต้านการแพ้ต่างๆของผิว (soothing and anti-irritanting) เยียวยาผิวจากการแสบไหม้ และเสริมสร้างการสร้างเนื้อเยื่อ (granulation tissue) ที่สมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ เผยผิวใหม่ที่แข็งแรงสมบูรย์ มีสุขภาพผิวที่ดี เป็นพืชสมุนไพรจากประเทศเยอรมัน ปลอดภัยและไร้ผลข้างเคียงสามารถใช้ได้แม้ในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กทารก นอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศรีษะ ยับยั้งการเกิดรังแคบนหนังศีรษะ การซ่อมแซมหนังศรีษะที่ถูกสารเคมี หรือแสง UV

ดอก Comfrey เป็นไม้พุ่มยืนต้นของทวีปยุโรป และขึ้นอยู่ในบริเวณพื้นที่อบอุ่นบางแห่งของเอเชีย ดอก Comfrey มีคุณสมบัติตามธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความนุ่ม ชุ่มชื้นให้กับผิว

ในอดีตจะใช้คอมเฟรย์มาทุบให้ละเอียดแล้วประคบบริเวณ ที่กระดูกหักอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อวัน เชื่อกันว่าสารในคอมเฟรย์จะซึมเข้าไปและช่วยรักษาอาการกระดูกหักให้หายเร็ว ขึ้น คุณสมบัติที่ช่วยเชื่อมประสานผิวหนัง คอมเฟรย์จึงถูกนำมาใช้ในการทารอย แผลถลอก

ปัจจุบันมีการนำสารสกัดจากคอมเฟรย์ไปใช้ในด้านการรักษาสิว ทำให้รอยแผลจากสิวสมานได้เร็วขึ้น ลดโอกาสการเกิดแผลเป็นจากสิวอักเสบ และยังถูกนำมาผสมในเครื่องสำอางหลายชนิดเพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้ผู้ใช้มีผิวที่เรียบสวยขึ้น

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Niacinamide (Vitamin B3)....สารพัดประโยชน์ในการบำรุงผิว

วิตามินบี 3

Vitamin B3 หรือ Niacinamide ถือได้ว่าเป็นวิตามินอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการบำรุงผิวมากตัวหนึ่ง ซึ่งเห็นได้จากการที่มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรักษาสิว และจุดด่างดำจากสิวหลายตัวผสมมีส่วนผสมของ Vitamin B3 เข้าไป ซึ่งโดยทั่วไปหลายคนก็อาจจะไม่รู้ว่า ตกลงแล้ว Vitamin B3 มันช่วยเรื่องอะไร เหมาะกับการบำรุงผิวหรือไม่ วันนี้ เราจึงได้นำข้อมูลดีๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Vitamin B3 มาฝากทุกคนกัน

มาดูกันเลยดีกว่าว่า Vitamin B3 หรือ Niacinamide คืออะไร?

Niacinamide อยู่ในกลุ่ม Vitamin B รู้จักกันในชื่ออื่นว่า Vitamin B3 หรือ Nicotinamide เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ถือเป็น Co-Enzyme ที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย และทำหน้าที่สังเคาะห์ไขมัน มีความคงตัวสูงต่อความร้อนและออกซิเจน ถูกค้นพบในตันศตวรรณที่ 20 โดยนำมาใช้ป้องกันโรคผิวหนังชนิดหนึ่งคือ โรค Pellagra ชื่อดั้งเดิมของ Niacinamide คือ Vitamin PP มาจาก Pellagra-Preventive Vitamin B3 เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นของร่างกายตัวหนึ่ง เราสังเคราะห์เองไม่ได้ต้องรับเข้าสู่ร่างกายด้วยการกินและการทาครีมต่างๆ โดยส่วนใหญ่เราจะได้รับ Vitamin B3 จากอาหารที่เรากินอยู่แล้ว เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ลำข้าว ยีสต์ ธัญญาพืชต่างๆ อีกทางหนึ่งก็จะรับมาจากการทาครีมที่ผสมVitamin B3 เข้าไป

วิตามินบี 3 ช่วยผิวขาว


  • Niacinamide Vitamin B3 กับการบำรุงผิว

    Vitamin B3 เป็นวิตามินที่มีบทบาทในการบำรุงผิวไม่น้อย จากข้อมูลพบว่า Vitamin B3 มีส่วนช่วยให้กระบวนการเมตาบอริซึ่มของเซลผิว ทำให้เซลทำงานได้เป็นปกติ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มระดับเซรามาไมด์ของผิว ซึ่งการที่ผิวเรามีเซราไมด์เยอะนั้นจะทำให้ผิวเรากักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีดีขึ้น เป็นเหมือนเกราะป้องกันผิวชั้นดี

    Vitamin B3 ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวเท่านั้น ยังมีข้อมูลที่บอกอีกว่ามีผลต่อการเคลื่อนที่ของเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นปัจจัยที่กำหนดสีผิวของเรา โดย Vitamin B3 จะทำช่วยยับยั้งการเคลื่อตัวของเมลานินที่จะเคลื่อนตัวขึ้นมายังผิวชั้นบน มีส่วนช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนแลดูขาวขึ้นได้
  • Niacinamide Vitamin B3 กับการชลอริ้วรอย

    เมื่อผิวเกิดริ้วรอยและเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่บอกถึงความเสื่อมชราของผิวหนัง สาเหตุหลักๆมาจากการสร้าง collagen และ elastin ใน fibroblast น้อยลงเรื่อยๆ วิธีชลอริ้วรอยที่แนะนำกันมากก็คือ กระตุ้นการสร้าง fibroblast และป้องกันไม่ให้โครงสร้างเส้นใย collagen ถูกทำลาย Niacinamide เป็นสารหนึ่งที่พบว่าสามารถช่วยเพิ่ม fibroblast และ collagen จึงเป็นสารที่ใช้ช่วยชลอริ้วรอยในผิวหนัง
  • Niacinamide Vitamin B3 กับการทำให้ผิวขาว มีสีผิวสม่ำเสมอ

    แสงแดดเป็นสาเหตุหลักอันหนึ่งที่ทำให้เกิดการสร้างเม็ดสีในผิวหนังมากกว่าปกติ (hyperpigmentation) โดย melanocyte จะผลิต melanosome ซึ่งมี melanin อยู่ภายใน แล้วปล่อยเข้าไปใน keratinocyte ที่อยู่รอบๆ จากนั้น keratinocyte จะเคลื่อนขึ้นไปสู่ผิวชั้นบนของหนังกำพร้า ทำให้ผิวมีสีเข้มกว่าปกติหรือเป็นฝ้า กระ รอยด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ

    ในการศึกษาพบว่า Niacinamide เข้าไปยับยั้งการส่งถ่าย melanosome ไปยัง keratinocyte ทำให้ keratinocyte ที่เคลื่อนสู่ผิวชั้นบนของหนังกำพร้าไม่มีเม็ดสีที่มากผิดปกติ ผิวจึงดูขาว กระจ่างใส มีสีผิวสม่ำเสมอ
  • Niacinamide Vitamin B3 กับการรักษาสิว

    การใช้สารฆ่าเชื้อในการรักษาสิว โดยทั่วไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแบคทีเรียเกิดการดื้อยาได้ จากการศึกษาของ Shalita colleagues แสดงให้เห็นว่า Niacinamide 4% มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวเช่นเดียวกับการใช้ยา Clindamycin 1% และให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าด้วย

ยังมีข้อมูลที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า เมื่ออายุเพิ่มขึ้นระดับ NADH/NADPH จะลดลง ซึ่ง NADH/NADPH เกี่ยวข้องกับการสร้าง ATP ใน Krebs cycle โดยATP เป็นแหล่งพลังงานให้กับเซลล์ในการทำหน้าที่ต่างๆ รวมถึงการสร้างและการแบ่งตัวของเซลล์ เมื่อ NADH/NADPH ลดลง ATP ก็ลดลง การสร้างเซลล์ผิวใหม่และการผลัดเซลล์ก็น้อยลงด้วย ผิวจึงดูหม่นหมองและไม่เต่งตึง การทา Niacinamide บนผิวโดยตรง จะไปช่วยชลอการลดลงของ NADH/NADPH นอกจากนี้ Niacinamide ยังช่วยเรื่องการต่อต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยลดการระคายเคืองอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ว่านหางจระเข้ มหัศจรรย์สมุนไพรไทย

“ว่านหางจระเข้” เชื่อได้ว่าหลายคนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีกับสมุนไพรไทยชนิดนี้ เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมปลูกไว้ติดบ้าน เพราะคงเป็นเหตุผลที่ว่าว่านหางจระเข้เป็นพืชมหัศจรรย์ที่มีประโยชน์มากมาย ในว่านหางจระเข้เต็มไปด้วยเจลที่มีส่วนผสมของวิตามินหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น วิตามิน เอ B1 B2 B3 B6 B12 C และ E และยังมีสรรพคุณในการเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย วันนี้เราจึงอยากให้คุณได้รู้จักกับว่านหางจระเข้ให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก แล้วคุณจะได้รู้ว่าว่านหางจระเข้เป็นพืชสมุนไพรสารพัดประโยชน์จริงๆ...

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) แหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีลักษณะเนื้ออิ่มอวบ มีมากกว่า 300 ชนิด มีทั้งพันธุ์ขนาดใหญ่มากไปจนถึงเล็กมาก เล็กกว่า 10 เซนติเมตร มีใบแหลมคล้ายเข็ม สีเขียว ขอบใบหยักและมีฟันเล็กๆ สีขาว เนื้อหนา เนื้อในมีน้ำมากเมือกเหนียว ดอกมีทั้งสีเหลือง ขาว แดง เป็นต้น ขึ้นอยู่กับพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการใช้หน่ออ่อน ชอบดินทราย ปลูกได้ทั้งในแปลงและกระถาง ชอบแดดรำไร หากถูกแดดจัดใบจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง มีการนำไปปลูกทั่วโลกและเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยสรรพคุณที่โดดเด่นจึงทำให้ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรไทยที่ได้การยอมรับและเลือกใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ลองมาดูกันสิว่าเจ้าว่านหางจระเข้มีประโยชน์และสรรพคุณอะไรบ้าง

สรรพคุณว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้นั้น จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย สามารถใช้บรรเทาโรคทั้งภายในและภายนอกร่างกาย อีกทั้งยังใช้บำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย ดังนี้

ประโยชน์ภายใน
  • บรรเทาอาการปวดข้อ นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วไปแช่ตู้เย็น และรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อวุ้น และน้ำวุ้น หากอยากให้รับประทานง่ายขึ้น สามารถนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน
  • ใช้เป็นยาถ่าย โดยเลือกตัดว่านหางจระเข้พันธุ์เฉพาะที่ใบใหญ่และมีน้ำยางสีเหลืองในปริมาณมาก อายุประมาณ 9 เดือนขึ้นไป รองน้ำยางที่ไหลออกมาจากใบ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ขนาดเล็กให้แข็งเป็นก้อนรับประทานเป็นยา หากต้องการรับประทานแบบสด ๆ ก็สามารถทำได้ โดยการตัดวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วออกเป็นขนาด 3-4 เซนติเมตร แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
  • แก้กระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ นำวุ้นที่ได้ไปล้างให้สะอาด แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินอาหารได้
  • ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเพื่อป้องกัน สามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้
ประโยชน์ภายนอก
  • รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย
  • รักษาฝีและโรคริดสีดวงทวาร ทำความสะอาดบริเวณที่เกิดโรคให้แห้งแล้วนำวุ้นไปแปะลงบนแผล หากเป็นที่ทวารหนักให้ปอกวุ้นให้เป็นแท่งแล้วล้างให้สะอาด นำไปแช่เย็นให้แข็ง เพื่อสอดเหน็บในช่องทวารหนักวันละ 1-2 ครั้ง อาการริดสีดวงจะดีขึ้น
  • แก้ปวดศีรษะ ตัดใบสดจากต้นว่านหางจระเข้ แล้วนำปูนแดงทาบริเวณวุ้น ถือใบสดแล้วนำวุ้นผสมปูนแดงประคบบริเวณขมับหรือท้ายทอย ตามจุดที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้
  • บรรเทาอาการปวดฟัน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ออกเป็นแท่งเล็ก ๆ ประมาณ 2-3 เซนติเมตร นำไปเหน็บไว้ตามซอกฟันที่มีอาการปวด หรือประคบไว้ก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาการปวดจะค่อย ๆ บรรเทาลง
พอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้

ประโยชน์ด้านความงาม
  • ช่วยในการบำรุงเส้นผมให้เงางาม โดยตัดใบสดมาทาลงบนเส้นผม หรือนำวุ้นว่านหางจระเข้ไปปั่นให้ละเอียดจะได้ใช้ง่ายขึ้น จากนั้นนำมาชโลมผมให้ทั่วจะช่วยให้ผมสวยเงางาม และหากนวดบริเวณรากผมจะช่วยให้รากผมเย็นลง ช่วยบำรุงหนังศีรษะ รักษาแผลบนศีรษะและขจัดรังแคได้
  • ช่วยรักษาสิวและรอยด่างดำ โดยให้นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง เพราะว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้
  • ช่วยบำรุงผิวกาย โดยนำว่านหางจระเข้สด มาปอกเปลือกและล้างให้สะอาด จากนั้นหั่นเป็นชิ้น แล้วนำวุ้นไปแช่ไว้ในอ่างอาบ โดยระหว่างอาบน้ำให้ใช้เนื้อวุ้นถูกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เน้นที่รอยแห้งกร้านอย่างข้อศอก หัวเข่า ส้นเท้า เป็นต้น จะช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่มและเต่งตึงขึ้น
  • ช่วยเติมน้ำให้ผิว โดยเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้มาพอกหน้าก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเติมน้ำให้ผิว ของคุณได้ โดยล้างวุ้นให้สะอาด แล้วฝานบาง ๆ มาโปะให้ทั่วหน้า หลับตาพริ้มรอสัก 15 นาที ก็ไปล้างหน้าให้สะอาดได้ ผิวของคุณจะรู้สึกชุ่มชื้น เต่งตึงขึ้น หากจะใช้กับผิวกายก็ได้ โดยนำเนื้อไปปั่นหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกตัว

รู้จักสรรพคุณและสูตรต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้กันแล้ว คงต้องเตรียมหาว่านหางจระเข้สารพัดประโยชน์ชนิดนี้มาปลูกไว้คู่บ้านกันบ้างแล้วล่ะ รับรองได้ว่าคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน สำหรับใครที่อยากมีหน้าขาวใสแบบธรรมชาติแล้วล่ะก็ว่านหางจระเข้ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่คุณไม่ควรพลาดเลยที่เดียว มั่นใจได้ว่าคุณจะต้องหลงรักพืชสมุนไพรชนิดนี้เป็นแน่ ! คอนเฟิร์มค่ะ

ว่านหางจระเข้บำรุงผิว

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สิวหายแต่ก็ยังทิ้งรอยให้รำคาญใจอีก...มาลบรอยสิวง่ายๆด้วยตัวคุณเอง

หลังจากที่คุณได้โบกมือลาปัญหาเรื่องสิวบนใบหน้าไปแล้วนั้น ก็ใช่ว่าจะสบายใจและหมดปัญหาไปได้เลย เพราะยังมีอีกหนึ่งปัญหาเข้ามาแทนนั้นก็คือรอยดำจากสิวนั้นเอง ที่ยังคงทิ้งร่อยรอยไว้ให้คุณหาวิธีแก้ปัญหาต่อไป

วิธีลบรอยด่างดำจากสิว

สำหรับใครที่ต้องการจะลบรอยสิวล่ะก็ โดยที่คุณไม่ต้องสูญเสียเงินไปกับคลินิกเสริมความงาม ด้วยการไปทำเลเซอร์เลย เพราะปัญหาริ้วรอยจากสิว เป็นเรื่องที่สามารถรักษาได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวคุณเองที่บ้าน ซึ่งในวันนี้จะไปดูกันว่า เคล็ดลับรักษาริ้วรอยจากสิวนั้น มีวิธีการอย่างไรกันบ้าง

เคล็ดลับการรักษาริ้วรอยจากสิว โดยใช้ผลไม้และพืชสมุนไพร

มาเริ่มวิธีการรักษาริ้วรอยจากสิวโดยใช้พืชสมุนไพรและผลไม้กันก่อน ซึ่งล้วนแต่เป็นของที่สามารถหาได้อย่างง่ายๆ ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น ดังต่อไปนี้

  • หอมแดง หอมแดงมีสารในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว และยังมีสารที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย สำหรับวิธีการใช้ก็ง่ายๆ เพียงแค่นำหอมแดงมาปลอกเปลือก หั่นเป็นแว่นบาง แล้วนำมาแต้มบริเวณที่เป็นจุดด่างดำเป็นประจำทุกวัน ในไม่ช้ารอยสิวจะค่อยๆจางลง ผิวหนังที่เป็นสีดำจะกลายเป็นสีแดง และกลายเป็นสีเนื้อตามปกติ
  • มะละกอสุก ในมะละกอมีเอนไซม์ปาเปน และโคโมปาเปน ช่วยในการย่อยโปรตีน ทำให้ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง จึงสามารถกระตุ้นให้เกิดการสมานแผลของผิวหนัง ซึ่งทำให้สมานแผลลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากสิวได้เช่นกัน โดยมีวิธีการง่ายๆ คือ นำมะละกอสุกมาปอกเปลือกและล้างยางออกให้สะอาด เพราะไม่เช่นนั้นยางอาจจะกัดใบหน้าได้ จากนั้นให้นำมะละกอมาบดให้ละเอียด แล้วพอกหน้าทิ้งเอาไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก เมื่อใช้เป็นประจำ ริ้วรอยจากสิวจะลดลง
  • ใบบัวบกช่วยลบรอยสิว

  • ใบบัวบก ในใบบัวบกจะมีสารไกลโคไซด์ ซึ่งจะช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ และช่วยสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหนัง ทำให้รอยดำจากสิวถูกลบเลือน นอกจากนั้นยังช่วยทำให้สภาพของผิวโดยรวมดีขึ้น สำหรับวิธีใช้ก็เพียงแค่นำใบบัวบกไปปั่นกับเครื่องปั่น หรือใช้การตำโดยใช้ครก จากนั้นนำใบบัวบกมาพอกหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ในน้ำมันมะพร้าวจะมีกรดลอริค ซึ่งช่วยในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง และยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยทำให้รอยดำจากสิวลดลง ซึ่งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น สามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป วิธีใช้ก็เพียงแค่ทาบริเวณที่เป็นริ้วรอยจากสิวหลังล้างหน้าก่อนนอนโดยที่ไม่ต้องล้างออก
  • กระเทียมช่วยลบรอยสิว

  • กระเทียม มีสารจากธรรมชาติที่ช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย วิธีใช้เพียงแค่ใช้มีดฟานเป็นแว่นบางๆ หรือใช้เล็บจิกเอาน้ำกระเทียมมาแต้มลงริ้วรอยดำจากสิว น้ำจากกระเทียมจะช่วยปรับสภาพสีผิวชั้นนอกบนหน้าให้เท่ากัน โดยการลดการสร้างเมลานินที่คั่งค้างอยู่ในรอยดำจากสิว ทำให้รอยสิวดูจางลง
  • แอปเปิ้ล+น้ำผึ้ง ล้างหน้าให้สะอาด แล้วซับหน้าให้แห้ง หลังจากนั้นให้นำแอปเปิ้ลครึ่งผล ผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาบดรวมกันให้ละเอียดจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ทาให้ทั่วใบหน้า หรือจะเน้นทาในบริเวณที่เป็นริ้วรอยจากสิว ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออก
  • น้ำมันลาเวนเดอร์ช่วยลบรอยสิว

  • น้ำมันลาเวนเดอร์ แต้มน้ำมันลาเวนเดอร์ลงบนบริเวณที่เป็นริ้วรอยจากสิว วันละ 2 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน น้ำมันลาเวนเดอร์จะช่วยทำให้ริ้วรอยจากสิวจางลงได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
  • น้ำแตงกวา อุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่สามารถช่วยลดการอักเสบและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว โดยใช้นำแตงกวาแต้มไปบนบริเวณที่เกิดริ้วรอยจากสิว ซึ่งน้ำแตงกวาไม่มีความเป็นกรด จึงไม่กัดผิว ทำให้สามารถที่จะแต้มทิ้งเอาไว้นานๆได้โดยที่ไม่ต้องรีบล้างออก สำหรับบางคนอาจจะแต้มทิ้งเอาไว้ทั้งคืนก็ได้โดยที่ไม่ได้มีอันตราย

ถึงอย่างไรก็ตาม ริ้วรอยด่างดำจากสิวโดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการบีบ กด สิวของตัวคุณเอง ดังนั้นวิธีการรักษารอยจากสิวที่ดีมากที่สุดวิธีหนึ่ง คือ การอดทน อดใจ ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับหัวสิว ถึงแม้ว่าจะรู้สึกอยากบีบมันขนาดไหนก็ตาม ควรรอให้หัวสิวยุบไปเองตามธรรมชาติจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าการรักษาริ้วรอยจากสิวจะเป็นเรื่องยาก และต้องใช้เวลาในการรักษา ก็อย่าพึ่งท้อแท้ไปนะคะ แค่เราหมั่นทำอยู่บ่อยๆรอยสิวก็จะหายไปอย่างแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เทคนิดการดูแลหน้าให้เด้ง เหมือนคุณได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง .....

หน้าเด้ง

หน้าเด้ง แลดูอ่อนกว่าวัยนั้น เป็นสิ่งที่ใครหลายคนปรารถนาอยากจะมีกันทั้งนั้น ซึ่งในปัจุบันนี้มีวิธีหลากหลายวิธีมากที่จะทำให้หน้าของเราเด้ง และแลดูอ่อนกว่าวัย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นวิธีที่ดีทั้งหมด เราจึงต้องเลือกให้ดี และเหมาะกับผิวหน้าของเราที่สุด วันนี้เราจึงมีเทคนิคมาแนะนำ นั้นก็คือการใช้สมุนไพร ซึ่งเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านของคนไทยอยู่แล้ว รับรองได้ว่าปลอดภัย 100% อย่างแน่นอน

เคล็ดลับวิธีเลือกสมุนไพรให้เหมาะกับผิวแต่ละคนมาฝาก..

พืชสมุนไพรทั้งหลายที่มีอยู่ ทั้งประเภทต้นหญ้า พืชเถา ต้นไม้ยืนต้น ใบ ดอก แก่น เนื้อไม้ ราก เมล็ด หรือสิ่งที่ได้มาจากสัตว์ เช่น นมสด น้ำผึ้ง ไข่แดง ไข่ขาว นับได้ว่ามีคุณค่าในการเอามาเป็นส่วนผสมที่ดี แต่การใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของผิวหน้าของแต่ละคนนั้นจะต้องพิจารณาให้ดีเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลดีที่สุดในการบำรุงผิวหน้า

ดังนั้นหลักสำคัญก่อนที่จะนำเอาสมุนไพรพอกหน้าด้วยสูตรต่างๆ ไปใช้ในการพอกหน้าของตนเองนั้น จะต้องคำนึงถึงลักษณะของผิวหน้าด้วย เพื่อให้เกิดผลที่ดีที่สุด

สำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน
  • ใช้ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว มีความเป็นกรดได้ดี แต่ไม่ควรใช้ในปริมาณมากจนเกินไป ควรใช้เพียงเล็กน้อยจะได้ผลดีกว่า เช่น หากใช้น้ำมะนาวมาผสม ก็ใช้เพียง 2 หยด ก็พอต่อปริมาณน้ำ ครึ่งแก้ว มะขามเปียกเปรี้ยวไม่มากนัก สามารใช้ในปริมาณที่มากพอสมควรได้ สำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน
  • อย่านำน้ำมันมะกอกหรือไข่แดงมาผสมใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวหน้ามันยิ่งขึ้นไปอีก แต่สามารถใช้ไข่ขาวของไข่ไก่มาผสมเข้ากับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ได้ เพื่อเกิดประโยชน์ได้ดี
  • สำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน ให้นำแตงกวามาหั่นเป็นแว่น ๆ แล้วมาแปะลงไปที่ผิวหน้าของตนเองก็นับว่าดีทีเดียว เพราะแตงกวามีประโยชน์มากสำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน ถ้าไม่ต้องการใช้วิธีแปะก็เอาเนื้อแตงกวามาปั่นให้ละเอียดแล้วนำเอาพอกลงไปที่ผิวหน้าเอาไว้ก็ได้ผลดีเช่นกัน เอมไซม์ที่มีอยู่ในเนื้อแตงกวาจะทำหน้าที่ชำระทำความสะอาดให้ผิวหน้าสำหรับคนที่ผิวมันของคุณเกลี้ยงเกลามากยิ่งขึ้น รวมทั้งเซลล์ที่ตายไปแล้วออกมาในลักษณะของขี้ไคล ผิวหน้าจะสดใสเปล่งปลั่งนวลเนียนมากขึ้น
สำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้ง
  • อย่านำแตงกวาสดมาใช้สำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้งโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผิวหน้าที่แห้งอยู่แล้วยิ่งแห้งหนักไปอีก หันไปใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่ไม่มีอันตรายต่อผิวแห้งดีกว่า ซึ่งมีอยู่มากมาย เมินแตงกวาไปเสียทันที
  • อย่านำเอาผลไม้หรือสมุนไพรที่ออกรสเปรี้ยวมาก มีกรดมากมาใช้เพราะไม่เหมาะกับคนผิวแห้งนั่นเอง หากเป็นผลไม้หรือสมุนไพรที่มีกรดอ่อน ๆ ก็ใช้ได้ เช่น ส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง เป็นต้น เพราะรสเปรี้ยวหรือความเป็นกรดมีอยู่น้อยกว่า
  • คนที่มีผิวหน้าแห้ง หากนำเอาผลไม้หรือสมุนไพรที่มีกรดไม่มากนักมาใช้เป็นส่วนผสมพอกผิวหน้า ควรใช้ในปริมาณที่ไม่มากนัก และต้องใช้เวลาในการพอกหน้าไม่นานนัก เช่น ให้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรพอกหน้านาน 20-30 นาที
  • สำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้ง หากนำเอาไข่แดงของไข่ไก่มาเป็นส่วนผสมของสมุนไพรพอกหน้าแล้วจะดีกว่า ทำให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื่นขึ้นได้ แต่อย่านำเอาไข่ขาวมาผสมก็แล้วกัน เอาเฉพาะไข่แดงเท่านั้นนะค่ะ

ไข่ช่วยหน้าเด้ง

ได้เคล็ดลับดีๆ แล้ว ก็อย่าลืมนำกลับไปบำรุงผิวหน้ากันนะค่ะ จะได้มีผิวที่เด้ง และดูอ่อนกว่าวัยกัน สมุนไพรที่ได้จากธรรมชาติ ยังไงก็ดีที่สุดสำหรับการบำรุงอยู่แล้ว

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โชว์หลังไม่ได้!! ปัญหาหนักใจของใครหลายคนกับสิวที่หลัง

เมื่อพูดถึง “สิวที่หลัง” เชื่อว่าหลายคนคงจะไม่ต้องการที่จะมีกันอย่างแน่นอน ซึ่งสิวที่ขึ้นบนแผ่นหลังนั้นทำให้หลายคนมีความกังวลใจไม่น้อย ขาดความมั่นใจเพราะไม่กล้าที่จะสวมใส่เสื้อโชว์หลังหรือเกิดอาการคันสร้างความรำคาญใจให้เป็นอย่างมากเลยล่ะ อีกทั้งถ้าสิวหายก็ยังจะมีรอยจากสิวให้เราจัดการอีกล่ะ ปัญหานี้คงจะสร้างความรำคาญใจให้หลายคนเป็นแน่!

สิวที่หลัง

เมื่อพูดถึงคนส่วนใหญ่ก็อาบน้ำชำระล้างตัวสะอาดกันทั้งนั้น แต่สำหรับบางคนที่เป็นคนมีเหงื่อออกมาก เมื่ออากาศร้อนทำให้รูขุมขนเปิดกว้าง และไปกระตุ้นทำให้เกิดสิวขึ้นมาได้ หรือแม้แต่บางคนเกิดจากการแพ้น้ำหอม สบู่ หรือเครื่องสำอางก็ได้ เป็นต้น ดังนั้นถ้าอยากหายเป็นสิวที่หลังจริงๆ เราก็ควรทำความเข้าใจกับสิวที่หลังให้ถูกต้องก่อนนะค่ะว่าเกิดจากสาเหตุใด จะได้รักษาได้ตรงจุดและหายเป็นสิวที่หลังซะที!

เรามาดูกันดีกว่าว่าสิวที่เกิดขึ้นที่แผ่นหลังของหลายคนมีสาเหตุมาจากอะไรกัน?

สิวที่หลังเกิดจากอะไร?

เคยสงสัยว่าทำไมถึงมีสิวขึ้นที่หลังด้วยนะ? นี่คงเป็นคำถามที่ใครหลายๆ อาจจกำลังสงสัย และเป็นอยู่ แล้วคงอยากทราบว่า สิวที่หลังนี้เกิดจากอะไร ทำไมมันถึงได้น่าลำคาญมากนาดนี้ นอกจากเป็นตุ่มๆทำให้หลังไม่เนียนแล้ว บางทีก็เจ็บ จะแต่งตัวเปิดหลังบ้างอะไรบ้าง ก็ทำให้ไม่มั่นใจเลย ต้องทำอย่างไร สิวที่หลังถึงจะหายไปได้สีกที

สาเหตุของสิวที่หลัง
  1. จากฮอร์โมน การเกิดสิวที่หลัง สิวที่ใบหน้า และสิวทุกที่ตามร่างกาย มีสาเหตุอย่างเดียวกัน คือ การแปรปรวนของฮอร์โมนเพศในร่างกายเราเอง บางคนเป็นสิวที่หน้า แต่บางคนเป็นสิวที่หลัง บางคนเป็นสิวอุดตัน แต่บางคนเป็นสิวอักเสบ อันนี้ขึ้นตามพันธุกรรม โดยฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน จะทำให้ต่อมไขมันมีการทำงานมากผลิตไขมันมากอุดตันได้ง่ายขึ้น เพราะในร่างกายคนเรานั้นล้วนมีต่อมไขมันอยู่ทุกๆ แห่ง แม้แต่ที่หลัง ก้น หรือไหล่ ดังนั้นคนแต่ละคนจะมีสิวมากน้อยไม่เท่ากัน
  2. อาจเกิดจากเชื้อรา พี.โอวาเล ที่น่าจะเป็นสาเหตุหลักของสิวบริเวณแผ่นหลัง โดยปกติเชื้อราตัวนี้มีอยู่ตามผิวหนังของคนเราอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้เกิดสิวบริเวณแผ่นหลังเพราะเชื้อรามีปริมาณมากกว่าปกติ ซึ่งถ้ามีปริมาณไขมันบริเวณรูขุมขนปรวนแปร หรือมีไขมันที่เชื้อราชอบจะเกิดการแบ่งตัวมากขึ้น เชื้อราอาจจะปล่อยสารบางอย่างออกมาไปย่อยไขมันทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะวัย หรือฮอร์โมนบางอย่างไปกระตุ้น เมื่อผ่านไปสักระยะสิวที่แผ่นหลังก็อาจหายไปเองได้ แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะเหงื่อที่อาจไปกระตุ้นทำให้เกิดสิวบริเวณแผ่นหลัง
  3. ปัยจัยภายนอกอื่นๆ
    • เหงื่อออกมาก แผ่นหลังของเรานั้นเป็นส่วนที่เหงื่อเกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ…เมื่ออากาศร้อนทำให้รูขุมขนเปิดกว้างและไปกระตุ้นทำให้เกิดสิวขึ้นมา
    • ความอับชื้น และความสกปรกต่างๆ จะทำให้สิวเป็นมากขึ้นได้ จากสาเหตุต่างๆ เช่น เสื้อผ้าหนาๆทำให้ร้อนอับ, เล่นกีฬา เช่นเล่นตอนเย็น แต่รอจนละครหลังข่าวจบค่อยอาบน้ำ, การสระผมล้างผมไม่สะอาด, ความสกปรกของผ้าเช็ดตัว/เสื้อผ้า/ผ้าปูที่นอน/ชุดนอน/หรือหมอนเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง
    • สบู่/เครื่องสำอาง คือแพ้สบู่และเครื่องสำอางบางชนิด หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางประเภทที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือไขมันเยอะเกินไปซึ่งเป็นอาหารของเชื้อรา หรือแม้แต่แพ้น้ำหอมที่ฉีดทุกวัน
เมื่อรู้สาเหตุกันไปแล้ว ก็คงจะลดความกังวลใจของหลายคนไปได้ ต่อไปเรามาดูวิธีรักษากันเถอะ.....

วิธีรักษาสิวที่หลังด้วยวิธีง่ายๆ
  • ควรอาบน้ำก่อนนอนทุกครั้ง เพราะเราออกไปข้างนอก ทั้งเหงื่อออก เจอฝุ่นและ เชื้อโรคต่างๆ หากไม่ชำระล้างร่ายกายให้สะอาด ก็เป็นจะการหมักหมมสิ่งสกปรก และแบคทีเรีย สิวที่หลังไม่หายแน่ๆ
  • ขัดผิวด้วยใยบวบ หรือเกลือขัดผิว เป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป ทำให้สิวที่หลังค่อยๆลดลง อีกทั้งยังทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นด้วย
  • ใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล ชุบสำลีแล้วเช็ดที่หลังบางๆก่อนนอน กลิ่นแรงหน่อยแต่ได้ผลดี เช้ามาหัวสิวที่หลังยุบลง
  • ยาแต้มสิว ช่วยทำให้สิวที่หลังยุบลง แต้มเป็นประจำหลังอาบน้ำทุกครั้ง สิวที่หลังหายแน่นอนเลย
  • อย่าแงะ แกะ เกา สิวที่หลัง เพราะเป็นการรบกวนผิว ทำให้ผิวอักเสบ และสิวที่หลังก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกมากมายด้วย
  • ทานยารักษาสิว โดยยาที่ใช้ควรเป็นยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ ที่จะช่วยทำให้สิวแห้งและยุบตัวลงไปภายใน 2-4 สัปดาห์
  • รักษาความสะอาด ข้อนี้สำคัญมากที่สุด ถ้าอยากให้สิวหายไปจากหลัง ควรรักษาความสะอาดตั้งแต่ร่างกายของเรา รวมถึงห้องนอน เครื่องนอนต่างๆ เพื่อไม่ให้สิวกลับมาที่หลังได้อีก

ยังไงก้อลองเอาไปใช้กันดูนะคะ อาจจะทำให้ไม่เห็นผลแบบรวดเร็วทันใจ แต่ก็จะช่วยรักษาสิวที่หลังให้ค่อยๆดีขึ้น ค่อยๆยุบตัวลง และจะค่อยๆหายไปเอง แต่ก็ต้องใช้เวลาสักระยะขึ้นอยู่กับว่าเป็นสิวมากหรือน้อยด้วย และต้องทำควบคู่กับการดูแลตัวเองในขณะเป็นสิวที่หลังด้วย ก็จะยิ่งช่วยทำให้สิวและรอยดำหายเร็วขึ้นค่ะ ต่อจากนี้คุณก็จะได้แผ่นหลังที่เรียบเนียนขาวสวยกลับมาแล้ว ไม่ว่าคุณจะใส่ชุดไหนก็ไม่ใช่ปัญหาอีก โชว์แผ่นหลังที่ไร้สิวได้อย่างมั้นใจ เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ที่ใครก็ต้องอิจฉาแน่นอนค่ะ รับรองได้......

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อยากผิวขาวฟังทางนี้.... 5 เทคนิคดีๆ ที่จะเปลี่ยนจากผิวดำกลายเป็นขาวแน่นอน

ผิวขาว

การที่จะทำให้ผิวขาวได้นั้น มีวิธีมากมาย ก็แล้วแต่ว่าวิธีต่างๆเหล่านั้นเหมาะกับตัวคุณหรือไม่ สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีทำให้ผิวของคุณขาวใสล่ะก็ วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ ที่จะมาแนะนำ เป็นเทคนิคที่ทำได้ง่าย และเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ใครหลายคนมองข้าม เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการบำรุงผิวของคุณกัน...

5 เทคนิคดีๆ ที่จะเปลี่ยนจากผิวดำกลายเป็นขาว มีอะไรบ้างไปดูกัน
  • ออกกำลังกาย ช่วยให้ขาวใสได้ สำหรับการออกกำลังกายนั้นเป็นเสมือนการกระตุ้น เลือดในร่างกายให้ไหลเวียนได้ดีมากยิ่งขึ้นรวมถึงยังเป็นการดูแลสุขภาพและทำให้มีผิวขาวอย่างนึง
  • ทาครีมช่วยให้ผิวขาว ลดริ้วรอยได้ หาครีมที่ทาแล้วขาวจริง หรือแนะนำพวกวาสลีนเป็นครีมที่มีเนื้อหอม นุ่มและช่วยให้คุณนั้นมีผิวขาวกระจ่างใส
  • สบู่โฟมครีมอาบน้ำช่วยให้ผิวกระจ่างใสได้ สำหรับสบู่โฟมหรือครีมอาบน้ำนั้นเป็นหนึ่งในการสร้างผิวขาวที่ดีอย่างนึง หากอยากผิวขาวแนะนำว่าให้ ถูสบู่ หรือใช้พวกครีมอาบน้ำบ่อยๆ
  • พอกผิวพอกหน้า ขัดผิว ช่วยให้ผิวใส ดูอ่อนกว่าวัยได้ การพอกผิวขาวนั้นเป็นหนึ่งในการพอกผิวขัดผิวให้ขาวที่ง่าย และเห็นผลเร็ว
  • พกร่มหรือใส่เสื้อแขนยาว ทาครีมกันแดด แนะนำว่าก่อนออกจากบ้านใส่เสื้อแขนยาวหรือทาครีมกันแดดด้วย เพราะนอกจากจะช่วยให้เรานั้นมีผิวขาวกระจ่างใสได้แล้ว ยังเป็นการป้องกันแดดที่ดี
สำหรับ 5 เทคนิคง่ายๆนี้ที่คุณนั้นก็สามารถทำได้ และไม่ยาก ยังไงก็ลองนำไปใช้กันดูนะคะ สุขภาพผิวที่ดีก็ต้องเริ่มจากตัวคุณเองดีที่สุด จริงไหมคะ....

เคล็ดลับ 4 อย่างต่อไปนี้.....ที่จะเปลี่ยนผิวของคุณให้ขาวใสอมชมพู

ผิวขาวใส

การที่จะมีผิวสวย สุขภาพดีได้นั้น เชื่อว่าหลายคนคงต้องแลกกับการที่จะเสียเงินมากมายกับการสรรหาครีมเพื่อมาบำรุงผิว แต่จะดีกว่าไหมที่เราจะหันมาใช้ ผัก และผลไม้ที่ได้จากธรรมชาติ หาได้ง่าย ราคาก็ไม่แพง แถมยังปลอดภัยอีกต่างหาก วันนี้เราจึงนำ 4 เคล็ดลับการทำให้ผิวขาวมาบอก เพื่อที่คุณจะได้มีผิวสวยและขาวไปพร้อมๆกัน

เคล็ดลับ 4 อย่างต่อไปนี้.....ที่จะเปลี่ยนผิวของคุณให้ขาวใสอมชมพู
  1. พอกหน้า อีกหนึ่งวิธียอดฮิตที่สาว ๆ ส่วนใหญ่ล้วนทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่คราวนี้ให้ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เป็นผลไม้และผักที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ อี ซี ที่มีส่วนช่วยทำให้ผิวหน้าดูสดชื่น ขาวใสแบบมีเลือดฝาด
    • มะเขือเทศ นำมะเขือเทศสุกไปแช่ให้เย็นจัด จากนั้นจึงนำมาฝานเป็นแว่นบาง ๆ แล้วนำมาวางลงไปบนผิวหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำเป็นประจำทุกวัน จะสังเกตได้ชัดเจนเลยว่าผิวจะดูเด้ง สดใสขึ้นอย่างทันตา
    • แอปเปิล เลือกใช้แอปเปิลไม่ปอกเปลือก 1 ผล กับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาปั่นให้ละเอียด พอกให้ทั่วใบหน้าก่อนนอน ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก แอปเปิลและน้ำผึ้งจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกตามรูขุมขนและทำให้หน้าเนียนนุ่ม ขาวกระจ่างใส
    • สตรอเบอรี หลังจากล้างทำความสะอาดใบหน้าแล้ว ให้ใช้สตรอเบอรีประมาณ 5-7 ลูก ปั่นพอแหลก จากนั้นจึงนำพอกทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 15 นาที ทำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะทำให้ใบหน้าสวยอ่อนเยาว์ ฟื้นฟูผิวให้ขาวเรียบเนียนขึ้นได้
  2. ฟื้นฟูความขาวจากภายใน มากระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเซลล์ผิวหนังให้พร้อมรับสารวิตามินและคุณประโยชน์ดี ๆ กันดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นผักและผลไม้ที่จัดเต็มทั้งวิตามิน แร่ธาตุและสารอาหารจำเป็นต่อผิว ได้แก่ แครอท เซเลอรี มะเขือเทศ ฟักทอง บีทรูท กล้วย ส้ม สับปะรด แอปเปิล แตงโม กีวี อะโวคาโด และผลไม้ตระกูลเบอรี อาจนำมาปั่นดื่มล้างพิษทุกเช้าหรือเลือกรับประทานต่อวันให้มาก ๆ แทนแป้ง น้ำตาลและไขมัน เท่านี้ใบหน้าก็สวยเด้งดูมีสุขภาพดีแล้ว
  3. นวดหน้า เพราะการนวดกดจุด สามารถช่วยกระตุ้นช่วยการไหลเวียนโลหิตและยังเป็นการบริหารกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งสองข้างกดที่บริเวณริมฝีปากเเล้วค่อย ๆ เลื่อนไปที่บริเวณใต้เเก้มไปจนถึงกรอบหน้า จากนั้นจึงเลื่อนกลับเข้ามาบริเวณริมฝีปากอีกครั้ง ทำสลับเลื่อนเข้าและเลื่อนออก 3 ครั้ง ก่อนนอนเป็นประจำ จะทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง แลดูมีเลือดฝาด แก้มแดงสดใส
  4. ใช้เมคอัพเข้าช่วย อีกหนึ่งทางลัดง่าย ๆ ที่สามารถเนรมิตความขาวอมชมพูได้ในทุก ๆ วัน เพียงนำเมคอัพเบสปรับสีผิว เกลี่ยเบา ๆ ให้ทั่วผิวหน้า แล้วใช้แป้งฝุ่นโปร่งแสงปัดเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้าและลำคอ จากนั้นมาเพิ่มความสดใสให้กับแก้มทั้งสองข้าง ด้วยบรัชออนสีส้มอ่อนหรือสีชมพูอ่อนผสมชิมเมอร์ ปัดเบา ๆ ให้พวงแก้มสวยระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติ
เพียงเท่านี้ใครที่อยากมีผิวหน้าขาวใสอมชมพูอยู่เสมอ ก็ควรบำรุงและดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงการออกกำลังกาย เพราะนอกจากจะช่วยบำรุงผิวให้ขาวใสมั่นใจขึ้นได้แล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายของตัวคุณเองอีกด้วย.....

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ลาก่อนหน้ามัน......เคล็ดลับการบอกลาหน้ามันด้วยตัวคุณเอง!

ปัญหาหน้ามัน เชื่อว่าเป็นปัญหาที่ทำเอาหลายๆคน ปวดหัวไปตามๆกัน เพราะหน้ามันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ และยังทำให้หนุ่ม สาวๆ ทั้งหลายขาดความมั่นใจ เพราะหน้ามันทำให้เกิดสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวผด สิวหัวหนอง สิวอักเสบ หลายๆคนอาจต้องการหาคำตอบว่า อาการหน้ามันจนทำให้เกิดสิวนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร มีวิธีใดที่จะช่วยลดความมันบนใบหน้าได้บ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาให้ทุกคนที่ประสบปัญหาหน้ามันได้ทำความเข้าใจกันค่ะ

หน้ามัน

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้หลายคนเกิดอาการ “หน้ามันแผล่บ” มีหลายประการมากคะ ได้แก่ เรื่องของกรรมพันธุ์ หรือธรรมชาติที่ต่อมไขมันจะทำงานมากเป็นพิเศษในช่วงวัยรุ่นทำให้มีน้ำมันเคลือบผิวหน้ามากกว่าเดิม แถมรูขุมขนก็จะขยายมากกว่าเดิมอีกด้วย นอกจากนี้ความมันบนใบหน้าอาจถูกกระตุ้นเพิ่มเติมจากสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศที่ร้อนจัด การใช้แรงงาน การออกกำลังกาย แสงแดด การใช้ยาบางตัวก็มีส่วนทำให้ผิวของเรามันมากขึ้นค่ะ อาหารที่ร้อนหรืออาหารที่รสเผ็ดจัด ยังไม่นับความเครียด ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงหรือการใช้สกินแคร์มากเกินความจำเป็น สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นให้ร่างกายขับเหงื่อขับน้ำมันออกมามากขึ้น

อ๊ะ ! แต่อย่ากังวลใจไป ถึงแม้หน้ามันจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เรายังมีวิธีลดหน้ามันมาฝาก

…ลองทำตามเคล็ดลับที่เรากำลังจะบอกกับคุณนี้ดีกว่าค่ะ!

“หน้ามัน” เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆก็เป็นได้ เนื่องจากสภาพแวดแล้มในบ้านเราเอื้อต่อการเกิดหน้ามันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นควันพิษ ฝุ่น และสภาพอากาศร้อนอบอ้าวที่ทำให้หน้ามัน ทั้งนี้ ปัญหาหน้ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด หากเรารู้จักป้องกันด้วยเคล็ดลับ วิธีลดหน้ามัน ดูแลให้ผิวหน้ามีความสะอาด ปราศจากสิ่งเร้า ก็จะทำให้ปัญหาหน้ามันลดน้อยลงไปอย่างมาก สำหรับบทความนี้มี วิธีลดหน้ามัน มาแนะนำให้ไปปฏิบัติกัน เพื่อให้ใบหน้าของคุณ มีความเรียบเนียน ปราศจากความมันกวนใจ

เคล็ดลับ วิธีลดหน้ามัน ที่น่าสนใจ ที่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม มีอะไรกันบ้าง?
  • ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า น้ำเปล่าเป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมในการทำความสะอาดผิวหน้า เป็นวิธีการโดยธรรมชาติสำหรับดูแลผิวแสนบอบบางบนใบหน้าได้ดีที่สุด
  • อย่าใช้มือสัมผัสผิวหน้า ไม่ควรใช้มือสัมผัสกับผิวหน้า เนื่องจากมือและเล็บนั้น เป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรกตลอดวันและยังมีความมันบนผิวมือเป็นอย่างมากจึงทำให้เสี่ยงต่อการทำให้ใบหน้ามีความมันมากยิ่งขึ้น
  • ระวังอย่าให้โดนแดดจัด การโดนแดดมากๆเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาหน้ามัน และยังเพิ่มเม็ดสีในชั้นผิวให้หมองคล้ำลงอีกด้วย
  • ดูแลบำรุงผิวอยู่เสมอ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าครีมบำรุงผิวต่างๆจำเป็นอย่างมากต่อการป้องกัน และเป็น วิธีลดหน้ามันอย่างได้ผล ทั้งนี้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ เพื่อสามารถบำรุงผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก กระชับรูขุมขนที่กว้างให้ดูเล็กลงเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกที่จะเข้าไปสะสมข้างในรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของสิวอุดตัน
  • รับประทานผักและผลไม้ ข้อนี้สำคัญมาก หากเราเพิ่มปริมาณการบริโภคผักผลไม้ให้มากขึ้น สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ จะช่วยให้สิว และความมันของผิวพรรณค่อยๆลดลง โดยจะไปขจัดสารพิษในผิวหนังให้หมดไป ทั้งยังเป็นการทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ ซึ่งควรรับประทานผักผลไม้แบบสด จะเป็นแบบสลัดผักผลไม้ก็ได้ เช่นกัน
ผักเพื่อสุขภาพ


อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าปัญหาผิวมัน นั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมภายนอกหรือเกิดจากฮอร์โมนในร่างกายก็ได้ ดังนั้น การป้องกันด้วยวิธีการข้างต้น จะช่วยบรรเทาไม่ให้ปัญหาหน้ามัน มีอาการที่หนักมากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

7 วิธีทำให้หน้าขาวอมชมพู จนคุณต้องร้องว้าว..ว้าว...

ในปัจุบันถ้าพูดถึงการดูแลผิวหน้าล่ะก็ หลายคนคงให้ความสำคัญกันเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะต้องสรรหารพัดวิธีเพื่อจะทำให้ผิวขาวสว่างใส เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในหน้าที่การงาน เสริมบุคลิกภาพ และเพิ่มความมั่นใจอีกด้วย

หน้าขาวใส
“หน้าขาวอมชมพู” คงเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา วันนี้เราได้นำเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำสำหรับคนที่ต้องการจะมีหน้าขาวใส อมชมพู ราวกับหน้าเด็ก รับรองได้ว่าต้องถูกใจใครหลายๆคนอย่างแน่นอน

7 วิธีทำให้หน้าขาวอมชมพู มีวิธีอะไรบ้าง?
  1. หลังจากตื่นนอน ให้ดื่มน้ำเปล่าหนึ่งแก้วใหญ่ น้ำเปล่าจะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และทำให้ผิวพรรณสวย
  2. เวลาล้างหน้าแนะนำให้ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าจะดีที่สุด ถ้าต้องการจะใช้โฟมล้างหน้าก็ควรเลือกใช้โฟมที่เหมาะกับสภาพผิวของเราที่สุด และที่สำคัญควรใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กต่างหากในการซับหน้า และค่อยๆซับหน้าให้แห้ง
  3. หลังจากการอาบน้ำ ควรทาครีมที่มีสารป้องกันแสงแดดที่มี SPF25 ขึ้นไป เพราะในชีวิตประจำวันเราทุกคนต้องเผชิญกับแสงแดดอยู่เสมอ ซึ่งจะทำให้หน้าแก่ก่อนวัย หน้าเป็นสิว-ฝ้า-กระ ผิวหมองคล้ำ จึงควรป้องกันก่อนจะสายเกิน
  4. รับประทานมะเขือเทศ อาจจะเป็นมะเขือเทศที่ผลสุกหรือดิบก็ได้ อย่างน้อยอาทิตย์ละ4มื้อ มะเขือเทศมีส่วนช่วยในเรื่องผิวพรรณ และการต้านมะเร็งมากเป็นพิเศษ จึงควรรับประทานเป็นประจำ
  5. ที่บ้านควรมีน้ำผัก-ผลไม้ หรือวิตามินซีเม็ดไว้ ให้รับประทานเมื่อรู้ตัวว่าในวันนั้นร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่มีวิตามินซีเลย จะเป็นตัวช่วยที่ดีเลยล่ะ
  6. เวลาเลือกรับประทานอาหารควรเลือกอาหารที่มีรสเผ็ดบ้าง เพื่อช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดดี ผิวพรรณจะได้เปล่งปลั่ง และควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถูกสุขลักษณะ ไม่ควรทานอาหารที่มีรสเค็มมาก หวานมาก และอาหารที่มีไขมันเยอะ
  7. ดื่มน้ำให้มาก-มากที่สุด อย่างน้อยให้ได้วันละ 8 แก้วยิ่งดี เพราะน้ำจะช่วยให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล และช่วยในการเผาพลาญได้เป็นอย่างดี
เพียงแค่นี้คุณก็จะมีผิวที่สวยใสอมชมพูแล้ว และเป็นวิธีที่ทำได้ไม่ยากเลย เชื่อว่าทุกคนก็ทำเป็นประจำอยู่แล้ว แค่เราหันมาใส่ใจกันให้มากขึ้นเท่านั้นเอง...

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

7 สูตร วิธีรักษาสิวเสี้ยนด้วยตัวเองแบบธรรมชาติ

รักษาสิวเสี้ยน

“สิวเสี้ยน” เป็นสิวหัวดำที่สร้างความรำคาญใจให้กับหลายคนไม่ว่าจะเป็น หญิงหรือชายก็ตาม “สิวเสี้ยน” มักจะชอบขึ้นบริเวณจมูก มากเป็นที่สุดก็ว่าได้ เพราะบริเวณจมูกนี้จะมีต่อมไขมันเป็นจำนวนมากจึงทำให้จมูกมันและเกิดการอุดตันของรูขุมขนกลายเป็นสิวเสี้ยน ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนแก้ไม่ตก เนื่องจากมันฝังลึก และเป็นมานาน และที่สำคัญบางคนคิดว่าสิวเสี้ยนไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไร ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดจึงปล่อยมันไว้ ซึ่งเป็นการคิดที่ผิดเพราะการกระทำเช่นนี้อาจทำให้สิวเสี้ยนกลายเป็นสิวอักเสบได้ในอนาคต เพราะมีการอุดตันของสิ่งสกปรกในรูขุมขน ดังนั้นเราจึงต้องรีบจัดการการ เจ้าสิวเสี้ยน ให้หมดไปจากหน้าของเราได้แล้ว

วันนี้...เราจึงได้รวบรวมสูตรของการรักษาสิวเสี้ยนด้วยตนเองแบบธรรมชาติ มาฝากค่ะ ??

มารักษาสิวเสี้ยน ให้หมดไป เพื่อเผยผิวสวยที่แท้จริงกันดีกว่า....
  1. น้ำผึ้ง ในน้ำผึ้งนั้น มีสารอารหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวมากมาย มีความอ่อนโยน ไม่ทำร้ายผิว ถึงแม้ต้องทนเหนียวกันสักหน่อย แต่รับรองว่าน้ำผึ้งเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพต่อการ รักษาสิวเสี้ยน วิธีการก็แสนง่าย เพียงแค่เทน้ำผึ้งในปริมาณน้อยลงที่นิ้ว และค่อยๆตบในพื้นที่ที่มีสิวเสี้ยน ไม่ว่าจะเป็นสันจมูก หรือบริเวณใบหน้าอื่นๆ น้ำผึ้งจะยึดติดอยู่กับในรูขุมขน แล้วดึงสิ่งสกปรกมันออกมาได้โดยง่ายขณะที่เราเอานิ้วมือค่อยๆถู นอกจากนี้น้ำผึ้งยังช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย มีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ทั้งนี้ ให้ใช้น้ำผึ้งทำลักษณะนี้สักประมาณ 3 นาทีจึงล้างออก
  2. ไข่ขาว วิธีนี้ต้องอดทนกับกลิ่นคาวของไข่ขาวกันสักนิด หากแต่เป็นวิธีที่สามารถ รักษาสิวเสี้ยน อย่างเห็นผล วิธีการคือหลังจากตอกไข่แล้ว ให้คัดเอาแต่ส่วนของไข่ขาวเท่านั้นแยกออกมาใส่ภาชนะพักไว้ จากนั้นให้ทำความสะอาดใบหน้าเสียก่อน จากนั้นเริ่มใช้ไข่ขาวพอกทั่วบริเวณใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตา ทั้งนี้ แนะนำให้ใช้พู่กันในการพอกหน้า โดยพอกทิ้งไว้บางๆ รอจนแห้งจึงทาไข่ขาวลงไปอีกชึ้นหนึ่ง แล้วปล่อยให้แห้งสนิท ประมาณ 15 นาที จนเริ่มรู้สึกว่าหน้าตึง จากนั้นใช้น้ำอุ่นค่อยๆถูไข่ขาวออกจากใบหน้า ขอย้ำว่าให้ถูเบาๆ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้ ทั้งยังได้สารอาหารจากไข่ขาวที่ทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น
  3. มันฝรั่ง มันฝรั่งดิบสับละเอียดสามารถใช้รักษาปัญหาผิวได้หลายอย่างรวมทั้งสิวหัวดำ โดยพอกมันฝรั่งลงบนผิวที่เป็นปัญหาโดยตรง ทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออก ล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด
  4. หอมแดง หอมแดง มีสรรพคุณช่วยในการรักษาสิว ลบรอยด่างดำที่เกิดจากสิวได้ เพราะในหอมแดงสดจะประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารต่าง ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติมากมาย เช่น ลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยเจริญอาหาร และช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของสิว โดย นำหัวหอมแดงสดนำมาฝานเป็นแว่นบาง ๆ เพื่อให้สะดวกในการแปะที่หัวสิวของคุณ หรือจะทุบเบา ๆ แตะน้ำที่ซึมออกมาจากหัวหอมนำมาทาบาง ๆ บริเวณที่เป็นสิวหรือรอยจุดด่างดำ ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง หรือจนคุณทนกลิ่นมันไม่ได้ แต่ถ้าทิ้งข้ามคืนจะดีมากๆ ช่วยทำให้สิวลดลงได้จริงๆ
  5. ทาน้ำมะนาว ทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิวเสี้ยน วันละ 2-3 ครั้ง น้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนทำให้รูขุมขนตึงขึ้น ช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น และทำให้มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวน้อยลง
  6. ดื่มน้ำมะนาว ความจริงแล้วการรักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ : สามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย (เพราะในน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ วิตามินซี, โพแทสเซียม) ดื่มง่าย และทำได้ง่าย นอกจากนี้ ยังช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องผูก และช่วยกำจัดนิ่วในไต และตับอ่อนด้วยค่ะ
  7. มาส์กข้าวโอ๊ตกับกุหลาบ ทรีตเมนต์นี้ช่วยกำจัดสิวหัวดำที่คุณมีอยู่แล้ว และป้องการเกิดขึ้นใหม่อีก วิธีการคือผสมข้าวโอ๊ตบดละเอียดกับน้ำกุหลาบให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ทาส่วนผสมลงบนหน้าบริเวณที่เป็นปัญหาทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำเย็น ซึ่งจะช่วยปิดรูขุมขนที่เพิ่งทำความสะอาดมาใหม่ๆ ป้องกันการเกิดสิวหัวดำต่อไป
สมันไพรรักษาสิว


วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ลดสิวแบบธรรมชาติ แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวคุณเอง...

ลดสิว

“สิว” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง บริเวณที่มีต่อมไขมันมาก ได้แก่ ใบหน้า แผ่นหลัง และหน้าอก สิวเกิดจากภาวะที่รูขุมขนถูกอุดตันจากสิ่งแปลกปลอม เช่น ถูกอุดตันจากไขมัน จากสิ่งสกปรก และฝุ่นละออง นอกจากนี้ “สิว” ยังมีสาเหตุการเกิดจากฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะในวัยรุ่นฮอร์โมนเพศจะมีฤทธิ์กระตุ้นให้ต่อมไขมัน ขับไขมันส่วนเกินออกมามาก จนเกิดการอุดตันขึ้น เป็นสาเหตุของการเกิดสิวบนใบหน้า ที่สร้างความหงุดหงิด รำคาญใจให้หลายๆคน ยิ่งจิตใจของเรากังวลและเครียดกับมันแล้ว จะยิ่งทำให้สิวที่เป็นอยู่หนักขึ้นอีก ถ้าเราดูแลและรักษาไม่ดีแล้วล่ะก็ ยิ่งทำให้สิวกลายเป็นปัญหาใหญ่ลุกลาม สูญเสียความงามบนใบหน้า ทำให้เสียความมั่นใจในการพบปะผู้คน

สำหรับใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องสิวๆอยู่ล่ะก็ ลองมาเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวคุณเองเพื่อห่างไกลสิวกันดีกว่า รับรองว่า ปัญหาเรื่องสิว ก็จะไม่มากวนใจคุณอีกแน่นอน

วิธีลดสิวแบบธรรมชาติ โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีอะไรบ้าง ?
  • ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว บางครั้งอาจจะไม่ถึง แต่ที่สำคัญต้องห้ามลืมดื่มตอนเช้า 1 แก้ว และก่อนนอน 1 แก้ว เพราะน้ำช่วยในการทำให้ผิวยืดหยุ่น หลายคนคงเคยได้ยินว่า การที่ล้างหน้าบ่อยๆ หน้าจะแห้งเกินไปทำให้สิวขึ้น แต่แท้จริงแล้วใบหน้าของคนเรามีน้ำอยู่ เราจึงต้องคอยเติมเข้าไปเพื่อให้พอดีตลอดเวลา
  • ไม่นอนดึก และอย่าอดนอน การนอนดึกก็คือการอดนอน หลายคนเข้าใจว่า จะนอนกี่โมงไม่สำคัญขอให้นอนครบ 8 ชั่วโมงก็พอ นั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด ผลการวิจัยมักจะบอกให้นอนแต่หัวค่ำ และตื่นเช้าๆ เพราะเขามีการวิจัยมาแล้วว่า แต่ละช่วงเวลาอวัยวะไหนจะทำงานได้ดีที่สุด การนอนหลังเที่ยงคืน ถึงแม้จะนอนครบ 8 ชั่วโมง ก็ไม่ดีต่อสุขภาพ
  • งดทานอาหารมันๆ การทานอาหารมันๆ หรืออาหารที่มีน้ำมันเยอะ จะทำให้น้ำมันบนใบหน้าเยอะขึ้นตามไปด้วย เป็นสาเหตุให้เกิดการอุดตัน ในรูขุมขนเกิดเป็นสิวเสี้ยน
  • หลีกเลี่ยงฝุ่นควัน และล้างหน้าให้สะอาด พยายามหลีกเลี่ยงมลพิษ หรือสถานที่ที่มีฝุ่นเยอะๆ เนื่องจากเป็นการเพิ่มโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียบนใบหน้า พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะเป็นปัจจัย ที่ทำให้เกิดสิวผด ถ้าหากเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอกลับบ้านมาให้รีบทำความสะอาดใบหน้าทันที แต่อย่าทำความสะอาดหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอย่างโฟมล้างหน้าเกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้หน้าแห้งเกินไป ทางที่ดีที่สุดควรใช้น้ำเปล่าล้างหน้า และซับเบาๆให้แห้ง
  • รักษาความสะอาดของเครื่องนอน ทำความสะอาดเครื่องนอนอย่างปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม เป็นสิ่งที่สัมผัสกับผิวเราโดยตรงเป็นประจำทุกวัน และเป็นเวลานาน ดังนั้นเราต้องทำความสะอาดบ่อยๆ


การป้องกันสิวด้วยวิธีนี้ จะช่วยให้สามารถลดโอกาสการเกิดสิวได้เยอะมาก หรือแม้กระทั่งในรายที่เป็นสิวเมื่อทำตามขั้นตอนข้างต้นแล้วถือเป็นการช่วยลดสิว บรรเทาอาการของสิวได้เป็นอย่างดี หากใครที่กำลังเป็นสิวอยู่หรือไม่อยากให้สิวเจ้าปัญหามากวนใจ ก็ลองปฏิบัติตัวตามวิธีเหล่านี้ดูนะค่ะ น่าจะช่วยให้เห็นผลได้ภายในไม่กี่สัปดาห์แน่นอน....



วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สมุนไพรไทยช่วยรักษาสิวได้จริงเหรอ!!




“สิว” คำนี้หลายคนคงจะไม่อยากมีไว้บนผิวหน้าเป็นแน่ เพราะมันสร้างความเจ็บปวดและยังเป็นที่รำคาญใจ ทำให้ขาดความมั่นใจที่จะพบเจอกับคนอื่น เราจึงต้องพยายามหา วิธีเพื่อมาจัดการกับเจ้าสิวที่อยู่บนใบหน้าให้มันหมดไปสีกที! ทั้งไปพบแพทย์ หรือหาผลิตภัณฑ์ที่คนอื่นว่าดี มาทดลองใช้ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไร

วันนี้มีอีกหนึ่งทางเลือกมาแนะนำกัน นั่นก็คือ สมุนไพรรักษาสิว นั่นเอง จริงๆแล้ว สมุนไพรรักษาสิว ก็เป็นที่นิยมของคนโบราณมานานแล้ว แต่คนในปัจจุบัน คนมักจะให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ออกมาจำหน่ายตามท้องตลาด จนลืมไปว่า



ประเทศไทยเรานั้นมี สมุนไพรรักษาสิว ที่ดีและมีคุณภาพอยู่แล้ว หาได้ง่ายๆ และราคาไม่แพงอีกด้วย

การใช้พืชสมุนไพรรักษาสิว เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนของวิธีการรักษาสิวที่ปลอดภัยไร้สารเคมี เพราะเป็นพืชสมุนไพรรักษาสิว ที่มาจากธรรมชาติล้วนๆ และได้รับความนิยมมาก หาได้ง่ายแม้กระทั่งภายในครัวเรือน

ขั้นตอนวิธีการใช้พืชสมุนไพรรักษาสิว ในการทำและการรักษาก็ไม่ยุ่งยากมาก แต่จะมีพืชสมุนไพรรักษาสิว ประเภทไหนบ้าง แต่ละชนิดใช้อย่างไร ตามมาดูกัน

พืชสมุนไพรรักษาสิวคืออะไร ?

พืชสมุนไพรรักษาสิว คือ พืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติด้านการดูแลผิวพรรณเป็นพิเศษ ทั้งในเรื่องของการรักษาสิว การยับยั้งหรือ การป้องกัน รวมถึงการฟื้นฟู ซึ่งการนำพืชสมุนไพรรักษาสิวมาประยุกต์ใช้ในการดูแลรักษาสิวอุดตันและสิวอักเสบได้เป็นอย่างดี ในพืชสมุนไพรมีสารและกรดต่างๆ ที่จะช่วยในการรักษา เช่น ช่วยป้องกันยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการอักเสบ ช่วยลบเลือนรอยดำจากสิว และยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหนัง ซึ่งจะมีอยู่ในพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทยเราเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ ใบบัวบก, ว่านหางจระเข้, แตงกวา, กระเทียม, หอมแดง, มะเขือเทศ, มะนาว, ฯลฯ

คุณพร้อมที่จะมีผิวหน้าที่ขาวใสไร้สิวกันหรือยัง ! ถ้าพร้อมแล้วก็มาดูว่ามีวิธีอะไรกันบ้าง

สิวหายง่ายๆ ด้วยสมุนไพรรักษาสิว

  1. ว่านหางจระเข้ รักษาสิว ว่านหางจระเข้นั้น เป็นสมุนไพร ที่มีประโยชน์มากมาย แต่หนึ่งในนั้นก็คือ การเป็น สมุนไพรรักษาสิว ซึ่งว่านหางจระเข้ นั้น เราสามารถนำวุ้นจากใบสดของมัน มาทาบริเวณที่เป็นสิว การทา ควรทาในเวลาตอนเช้า และตอนเย็น และทิ้งไว้ให้แห้ง โดยไม่ต้องล้างออก เพียงเท่านี้ สิวของท่านก็จะค่อยๆ ยุบ และจางหายไป
  2. ใบบัวบก รักษาสิว เชื่อไหมว่า สารสกัดในใบบัวบก เป็น สมุนไพรรักษาสิว ที่ดีที่สุดตัวหนึ่งเลย ท่านแค่นำใบบัวบกมาตำและผสมน้ำ พอกหน้าหรือพอกตรงหัวสิว จะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น เพราะว่า สารสกัดในใบบัวบก มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ ลดการแพ้และช่วยสมานผิว ดังนั้น เครื่องสำอางหรือครีม หลายตัวจึงนำเอา ใบบัวบกไปผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าอีกด้วย
  3. หอมแดง รักษาสิว สมุนไพรรักษาสิว อีกตัวหนึ่งที่ดีไม่แพ้ตัวอื่นๆ ก็คือ หอมแดง เพราะหอมแดงสด น้ำของมัน สามารถเข้าไปยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของสิวได้ เพียงนำหอมแดงสด มาฝานเป็นแว่นบางๆ แล้วเอาไปวางบริเวณที่เป็นสิว หรือว่า อาจจะเอาน้ำของมันมาทาบริเวณที่เป็นสิว ก็ได้ นอกจาก สิวจะหายอักเสบแล้ว ยังช่วยในการ ลดรอยดำรอยแดงจากสิว ได้อีกด้วย

  4. เปลือกมังคุด รักษาสิว เปลือกมังคุด เป็นอีกสมุนไพร ที่มีสรรพคุณทางยาเยอะมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การเป็น สมุนไพรรักษาสิว เพราะช่วยในการลดการอักเสบของสิว และยับยั้งเชื่อแบคทีเรีย โดยต้องนำ เปลือกมังคุด มาบดผสมกับน้ำเปล่าแล้วนำมาพอกหน้า หลังจากนั้นให้ล้างออก เพียงเท่านี้ปัญหาเรื่องสิว ก็จะค่อยๆหมดไปอีกทั้งจะเห็นได้ว่า เปลือกมังคุด ยังนิยมนำมาทำเป็นสบู่ หรือเจลล้างหน้า ที่มีขายทั่วไป
  5. ขมิ้นชัน รักษาสิว ขมิ้นชันจะช่วยลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง ขมิ้นชันพืชสมุนไพรรักษาสิวยังช่วยปรับสภาพผิวเพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น ช่วยให้แผลจากสิวหายเร็วขึ้นแค่นำมาปั่นกับดินสอพองและน้ำมะนาว พอกทิ้งไว้ จะทำให้ ผิวหน้าดูสดชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ต้องทำเป็นประจำจึงจะเห็นผล
  6. น้ำมะนาว รักษาสิว น้ำมะนาว ทำงานโดยการผลัดเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ทั้งยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วย สามารถใช้ได้ทั้งทาและดื่ม

วิธีใช้น้ำมะนาว ทารักษาสิว เริ่มต้นด้วย บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก และใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก แต่หากรู้สึกแสบเกินไปก็อาจผสมน้ำเพิ่มได้ จากนั้นก็ล้างหน้าให้สะอาด แล้วนำน้ำมะนาวที่ผสมแล้วป้ายลงบนสิว ทิ้งไว้ทั้งคืนแล้วค่อยล้างออกตอนเช้า สำหรับท่านที่แต่งหน้า อาจทาซ้ำอีกครั้งก่อนแต่งหน้า แต่หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้ว ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น โดยวิธีการนี้จะใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล



เห็นกันหรือยังว่า สมุนไพรไทยของเรามีประโยชน์มากมายจริงๆ ทั้งในเรื่องของการรักษาโรคต่างๆ และยังสามารถนำมารักษาสิวได้อีกด้วย อศัจรรย์จริงเชียว ! สมุนไพรไทย และที่สำคัญยังหาได้ไม่ยาก รับรองได้ถึงความปลอดภัย ไร้สารพิษตกค้าง ประหยัดแล้วยังหน้าสวยใสไร้สิวอีกด้วยคะ