วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

8 วิธีทําให้หน้าเนียนใสไร้สิว เคล็ดลับดี ๆ ที่ต้องบอกต่อ

วิธีทําให้หน้าเนียน

ทุกวันนี้สาว ๆ หันมาให้ความสนใจและดูแลตัวเองกันมากขึ้น เพราะใคร ๆ ก็อยากจะดูดีดูสวยในสายตาคนอื่น ๆ ทั้งนี้ถ้าอยากจะดูดีแบบไร้ที่ติแล้วละก็ นอกจากเสื้อผ้า ทรงผม รูปร่าง และผิวพรรณที่ต้องให้ความสำคัญแล้ว เรื่องหน้าตาก็ถือเป็นปราการด่านแรกที่จะทำให้คนอื่นหันมาสนใจและประทับใจเราตั้งแต่แรกเห็นได้เช่นกันนะคะสาว ๆ ดังนั้นอย่ารอช้ากันอยู่เลยค่ะ รีบหันมาบำรุงความสวยด้วยการทำให้หน้าเนียนใสไร้สิวกันเลยดีกว่า ซึ่งเชื่อว่าปัญหาเหล่านี้หลาย ๆ คนอาจจะยังแก้ไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนดีเพื่อทำให้หน้าสวยใส ดังนั้นวันนี้เราจึงได้นำ 8 วิธีทําให้หน้าเนียนใสไร้สิวที่สาว ๆ กำลังตามหามาฝากกันแล้วค่ะ บอกเลยว่าใครได้ลองแล้วจะต้องรัก เพราะเห็นผลดีจริง ๆ เอ้า ! ตามไปดูกันเลย...

วิธีทําให้หน้าเนียนใสไร้สิว เคล็ดลับดี ๆ ที่ต้องบอกต่อ


1. สวยใสไร้สิวด้วย "น้ำมะนาว"

มะนาว ถือเป็นตัวช่วยที่จะทำให้สาว ๆ มีใบหน้าที่เนียนใสไร้สิวได้อย่างเห็นผลและรวดเร็ว เพราะน้ำมะนาวจะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียอันเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ทำให้ใบหน้าขาวใส โดยวิธีทำก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่บีบน้ำมะนาวสด ๆ ลงในถ้วย จากนั้นใช้สำลีชุบแล้วนำมาทาบริเวณใบหน้า หรือหัวสิว ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีแล้วล้างหน้าให้สะอาด ทำแบบนี้บ่อย ๆ จะช่วยให้สิวอักเสบยุบลง ไม่มีสิวใหม่มากวนใจ และยังจะช่วยลดเลือนจุดด่างดำบนใบหน้าทำให้หน้าขาวกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย

2. สวยใสไร้สิวด้วย "ขมิ้น"

ขมิ้น เป็นสมุนไพรที่จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังทำให้สิวอักเสบยุบลงได้ง่าย และช่วยให้รอยสิวเก่าจางลง โดยให้นำผงขมิ้นชันมาผสมกับน้ำผึ้งและนมสด เมื่อคนให้เข้ากันแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที ล้างออกให้สะอาด ทำบ่อย ๆ ผิวหน้าของคุณจะเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ สิวน้อยลง เพราะขมิ้นจะช่วยยับยั้งการเกิดสิวใหม่ได้เป็นอย่างดี


3. สวยใสไร้สิวด้วย "น้ำผึ้ง"

สรรพคุณของน้ำผึ้งนั้นมีประโยชน์มากมาย กับผิวหน้าก็เช่นกัน เพราะน้ำผึ้งจะช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียทำให้ไม่เป็นสิวง่าย อีกทั้งยังทำให้หน้าเนียนนุ่มมากขึ้น เพียงแค่นำน้ำผึ้งมานวดหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ล้างออกให้สะอาด หลังล้างหน้าจะรู้สึกได้ทันทีว่าผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้นขึ้น หากยิ่งทำบ่อย ๆ นอกจากหน้าจะเนียนใสแล้วยังจะไม่มีสิวมากวนใจอีกด้วย

4. กำจัดสิวเสี้ยนด้วย "ไข่ขาว"

ไข่ขาว ถือเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการกำจัดสิวเสี้ยนและสิวหัวดำ อีกทั้งยังจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจด โดยเริ่มจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น จากนั้นนำไข่ขาวมาทาให้ทั่วใบหน้า เสร็จแล้วให้ใช้สำลีแผ่นบาง ๆ แปะทับลงไปให้ทั่ว ทิ้งไว้จนรู้สึกหน้าตึง ๆ และไข่ขาวเริ่มแห้งให้ลอกแผ่นสำลีออกเบา ๆ สิวเสี้ยนจะหลุดออกมา จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขน สูตรนี้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หน้าจะใสปิ๊ง ไม่มีสิว อีกทั้งรูขุมขนก็จะเล็กลงอีกด้วย


5. สวยใสไร้สิวด้วย "แอปเปิล"

แอปเปิล เป็นผลไม้ที่จะช่วยขจัดความหมองคล้ำของใบหน้าให้ขาวกระจ่างใส อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอย และรอยแดงจากสิวให้หายได้เร็วขึ้น โดยให้นำแอปเปิล 1 ลูกไปปั่นให้ละเอียดโดยไม่ต้องปอกเปลือก จากนั้นบีบน้ำมะนาวครึ่งลูกลงไป คนให้เข้ากัน เสร็จแล้วให้นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า พักทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ค่อยล้างออกให้สะอาด สูตรนี้เดือนหนึ่งสามารถทำได้ประมาณ 2-3 ครั้งค่ะ

6. ดื่มน้ำมาก ๆ

ถ้าอยากมีผิวหน้าผิวพรรณที่สดใส ร่างกายจำเป็นต้องดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้หญิงควรจะต้องดื่มน้ำอย่างต่ำประมาณวันละ 2 ลิตร (8-9 แก้ว) แต่ถ้าอยากจะมีหน้าใส ไม่เป็นสิวบ่อย ๆ ควรจะดื่มน้ำให้ได้มากกว่าวันละ 2 ลิตรนะคะสาว ๆ


7. สครับหน้าใสด้วย "โยเกิร์ต"

การสครับผิวหน้าจะช่วยขจัดความหมองคล้ำ และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้หน้าขาวกระจ่างใสไร้สิว โดยให้นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติครึ่งถ้วย มาผสมกับเกลือป่นอีกครึ่งช้อนโต๊ะ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นให้นำมาขัดผิวหน้าอย่างเบามือ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ล้างออกให้สะอาด โดย 1 สัปดาห์ควรสครับผิวหน้าอย่างน้อย 1 ครั้ง

8. ทาครีมบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ AHA และวิตามินซี

การเลือกครีมบำรุงผิวหน้าก็มีส่วนสำคัญเช่นเดียวกันนะคะสาว ๆ เพราะผิวหน้าของเราต้องการการบำรุง ซึ่งครีมที่เหมาะสมควรจะมีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว, มีส่วนผสมของ AHA จากธรรมชาติที่จะช่วยให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส รวมถึงวิตามินซีที่จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสและไม่มีริ้วรอยก่อนวัย

วิธีทําให้หน้าเนียนใสไร้สิวเหล่านี้ต้องบอกเลยว่าง่ายมาก ๆ แถมยังเห็นผลดีจริง ไม่เชื่อสาว ๆ ก็ลองไปพิสูจน์กันดูได้เลย

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง สูตรเด็ดเคลียร์ทุกปัญหาสิว

สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง

หากพูดถึง น้ำผึ้งรักษาสิว หลายคนย่อมคุ้นเคยกันดีกับ สูตรพอกหน้า โดยเฉพาะสำหรับใครที่ชื่นชอบการ พอกหน้ารักษาสิวด้วยน้ำผึ้ง อยู่เป็นประจำนอกจากสิวจะหายเร็วขึ้นแล้ว ยังบำรุงผิวหน้าให้นุ่มชุ่มชื้นและนวลเนียนอย่างน่าสัมผัสอีกด้วย เพราะน้ำผึ้งมีสรรพคุณช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้เป็นอย่างดี และยังมีวิตามิน แร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด ที่จะช่วยบำรุงผิวอย่างล้ำลึกพร้อมๆ กัน วันนี้เราเลยไม่พลาดกับการรวบรวม สูตรพอกหน้าน้ำผึ้งรักษาสิว มาฝาก สาวๆ คนไหนไม่อยากพลาดสูตรสวย ต้องรีบมาติดตามกันด่วน

สูตรพอกหน้าน้ำผึ้งรักษาสิว เพื่อผิวเนียนใส มีสูตรใดบ้าง?

สูตรที่ 1 น้ำผึ้ง

วิธีทำ นำน้ำผึ้งประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ มาทาลงบนผิวหน้าจนทั่ว พร้อมกับนวดคลึงด้วยปลายนิ้วพร้อมๆ กันแต่หลีกเลี่ยงการนวดผิวในจุดที่เป็นสิว เพราะจะทำให้สิวอักเสบและลุกลามหนักขึ้นได้ ให้นวดจนทั่วจากนั้นพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง ต่อประมาณ 10 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น สำหรับสูตรพอกหน้าน้ำผึ้งรักษาสิวนี้ น้ำผึ้งจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกออกจากผิวได้อย่างล้ำลึก จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างหมดจด นอกจากสิวหายแล้ว ยังป้องกันการเกิดสิวได้อีกด้วย แถมผิวหน้าก็ยังเนียนนุ่มชุ่มชื้นแบบมีสุขภาพดีสุดๆ เลยทีเดียว

สูตรที่ 2 น้ำอุ่น + เกลือ + น้ำผึ้ง

วิธีทำ สูตรรักษาสิวนี้ เราจะทำกัน 2 ขั้นตอนค่ะ โดยขั้นตอนแรกให้สาวๆ นำน้ำอุ่น 1/2 ถ้วย มาผสมกับเกลือ 1/4 ช้อนชา คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไม้พันสำลีมาจุ่มน้ำเกลือแล้วนำมาแต้มลงบนผิว ปล่อยสำลีเปียกไว้เช่นนั้นประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้ผิวบริเวณดังกล่าวเกิดความอ่อนนุ่มขึ้น เสร็จแล้วก็เช็ดให้แห้ง ขั้นตอนต่อมาให้แต้มสิวด้วยน้ำผึ้งต่อไปเป็นอันดับสุดท้าย โดยแต้มไว้ 10 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด


สูตรที่ 3 น้ำผึ้ง + น้ำมะนาว

วิธีทำ ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 20-30 นาที จึงล้างหน้าให้สะอาด สูตรพอกหน้ารักษาสิว สูตรนี้ หากสาวๆ หมั่นพอกเป็นประจำ กรดจากมะนาวก็จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้สิวแห้งและยุบเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้รอยสิวจางลงได้เร็วขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้นนะคะ สูตรนี้ยังช่วยทำความสะอาดผิวได้ล้ำลึก จึงป้องกันการเกิดสิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส และทำให้รูขุมขนกระชับลงด้วยค่ะ

สูตรที่ 4 น้ำผึ้ง + มะขามเปียก + น้ำมะนาว

วิธีทำ ขยำเนื้อมะขามเปียกกับน้ำสะอาดจนได้น้ำข้นๆ จากนั้นเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรพอกหน้ารักษาสิวสูตรนี้อาจจะมีกรด AHA จากธรรมชาติสูง ใครกลัวแสบหน้าก็อาจจะเติมนมสดไปด้วยเล็กน้อยก็ด้วย แต่รับรองเลยค่ะว่ากรดจากธรรมชาติจะทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และช่วยฆ่าเชื้อสิว ทำให้สิวอักเสบยุบลงเร็วแถมยังช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว หากหมั่นพอกสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รับรองจะทำให้ผิวหน้าสาวๆ ขาวกระจ่างใสจนสังเกตได้เลยล่ะ


สูตรที่ 5 น้ำผึ้ง + ขมิ้นชันผง + ดินสอพอง

วิธีทำ ให้นำดินสอพอง 2-3 เม็ดมาละลายน้ำ จากนั้นเติมผงขมิ้นเล็กน้อย และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้วนำมาพอกหน้าไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างหน้าให้สะอาด หมั่นพอกบ่อยๆ จะช่วยรักษาสิวอักเสบให้ยุบลงได้อย่างเป็นธรรมชาติ สิวผดที่เคยมีก็จะหายไป แถมผิวหน้ายังเนียนนุ่มกระจ่างใสน่าสัมผัสอีกด้วย

สูตรที่ 6 น้ำผึ้ง + น้ำมะนาว + มะละกอ

วิธีทำ บดเนื้อมะละกอสุกให้ละเอียด 1/2 ถ้วย เติมน้ำมะนาวและน้ำผึ้งอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะลงไปผสม คนส่วนผสมจนเข้าเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด สำหรับสูตรพอกหน้ารักษาสิวนี้ จะช่วยรักษาสิวอักเสบให้หายเร็ว และช่วยลดเลือนรอยสิวให้จางลงได้เร็วขึ้นด้วย

ครบวงจรทีเดียวว่ามั้ยคะ สำหรับ สูตรพอกหน้าน้ำผึ้งรักษาสิว จะเห็นได้ว่า น้ำผึ้งนอกจากจะช่วยลดการอักเสบและช่วยฆ่าเชื้อสิวให้หายเร็วแล้วยังมีสารอาหารที่จะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นอย่างมีสุขภาพดีได้แบบล้ำลึก ยิ่งหากเติมวัตถุดิบอื่นๆ ไปเพิ่มก็จะยิ่งผสานคุณค่าของสารบำรุงผิวและทำให้สิวหายเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดรอยสิวให้จางลงเร็วขึ้นด้วย

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559

8 วิธีปลุกผิวให้สวยสดใส สวยได้โดยไม่ต้องแต่งหน้า...

คงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่อยากมีผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งหรอกจริงไหมล่ะ เพราะหากมีผิวดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาประโคมเครื่องสำอางลงบนใบหน้า เพื่อเสริมความมั่นใจอีกเลย เพราะยังไงคุณก็พร้อมอวดผิวจริงทุกเวลาอยู่แล้ว แต่การที่จะมีผิวดีสดใสไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทาสกินแคร์อย่างเดียว เพราะหากคุณไม่ลองทำ 8 วิธีนี้ดู ไม่ว่าจะซื้อครีมบำรุงหน้าแพงแค่ไหน ก็ไม่ได้ผลหรอก

วิธีรักษาผิว

ผิวสดใสสุขภาพดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการครีมราคาแพง แต่มันขึ้นอยู่กับ 8 วิธีนี้ด้วยต่างหากล่ะ ใครอยากมีผิวพรรณสดใส ก็ลองมาดูกันเลยดีกว่า
  • ดื่มน้ำสะอาด
  • ไม่มีสกินแคร์อะไรที่จะดีเท่าการดื่มน้ำสะอาดอีกแล้วล่ะ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยขับของเสียออกจากร่างกายแล้ว ก็ยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวด้วย ถ้ามัวแต่ปล่อยให้ผิวขาดน้ำละก็ ระวังผิวจะแห้งและเกิดริ้วรอยเร็วกว่าที่คิด ฉะนั้นการวางขวดน้ำไว้ใกล้มือและจิบน้ำเปล่าบ่อย ๆ เป็นสิ่งที่ควรทำนะคะ
  • บำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
  • อย่างที่บอกไปแล้วว่าการดื่มน้ำช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ยังไงก็ต้องหามอยส์เจอไรเซอร์ดี ๆ มาบำรุงเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวด้วย ลองเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะกับผิวมาใช้ดูสิ ถ้าคุณมีผิวแห้งก็ลองเลือกแบบเนื้อครีมข้น ส่วนสาวผิวมันก็เลือกแบบเป็นเนื้อเจลเพื่อไม่ให้รู้สึกเหนอะหนะ ถ้าผิวชุ่มชื้นแล้วรับรองปัญหาผิวไม่ตามมาและสาวผิวมันก็จะหน้ามันน้อยลงด้วยแหละ


  • ไม่ขัดผิวบ่อย
  • อย่าเพิ่งคิดว่าการขัดผิวจะช่วยให้สิวทั้งหลายที่อยู่บนใบหน้าหายไป เพราะการขัดผิวบ่อย ๆ ถือเป็นการทำร้ายผิวต่างหากล่ะ ทางที่ดีขัดผิวแค่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอแล้ว
  • เลือกใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ
  • จริงอยู่ที่การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทำจากสารเคมี อาจจะช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างดีและเห็นผลทันตา แต่มันก็รุนแรงกับผิวอยู่ไม่น้อย ถ้าอย่างนั้นลองหันมา DIY ไอเทมบำรุงผิวหน้าเองบ้างดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นนำผลไม้ต่าง ๆ มาบำรุงก็ดีกับผิวทั้งนั้นแหละจ้า


  • ไม่เครียด
  • หากลองทำวิธีต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วเพื่อให้ผิวสดใส แต่รู้ไว้เถอะว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ตลอดแน่ ถ้าหากคุณยังมีเรื่องเครียดมากมายอยู่ในใจ ฉะนั้นต้องรู้จักปล่อยวางไม่คิดมากและมองโลกในแง่บวกเข้าไว้ รับรองว่าคุณจะเป็นสาวที่มีความสุข ซึ่งก็จะทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งตามไปด้วย
  • กินคลีน
  • การที่ผิวมีปัญหาสิวหรือปัญหาผิวทั้งหลาย รู้ไหมว่ามันก็เกี่ยวกับอาหารที่คุณสาว ๆ กินเข้าไปด้วยนะ ถ้าอยากให้ผิวสวยสดใสไม่มีปัญหา ก็ลองมาเลือกกินอาหารคลีนดูสิ
  • กินวิตามินเสริม
  • คงเป็นเรื่องยากที่ในชีวิตประจำวันคุณจะได้รับวิตามินเข้าสู่ร่างกายครบถ้วนเพียงพอ ฉะนั้นเจ้าวิตามินเสริมเป็นเม็ด ๆ นี่แหละช่วยคุณได้อย่างมากเลยทีเดียว ลองหาพวกน้ำมันตับปลามากินดูสิคะ เพราะมันจะช่วยให้ผิวดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกทั้งยังช่วยบำรุงเล็บ ผม และอีกหลายอย่างเลยแหละ
ลองทำตาม 8 วิธีง่าย ๆ นี้ รับรองได้ว่าคุณสาว ๆ ก็จะได้มีผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งโดยไม่ต้องง้อเมคอัพเลยแหละคะ

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เป็นสิวที่เดิม ๆ ไม่หายสักที จัดการได้กับ 5 วิธีไม่ให้สิวกลับมากวนใจ

วิธีรักษาสิว

ปัญหาหนึ่งของสาว ๆ ที่หลายคนมักจะปวดหัวกันบ่อย ๆ ก็คือ "สิว" ทั้งนี้ถ้าขึ้นมาแล้วหายไปสาว ๆ ก็คงไม่กังวลสักเท่าไร แต่ถ้าหากขึ้นแต่ที่เดิมซ้ำ ๆ เป็น 2-3 วันทีหาย แล้วอีกไม่นานก็กลับขึ้นมาใหม่ แบบนี้สาว ๆ คงจะรู้สึกไม่ดีแน่ ๆ ซึ่งสาเหตุของการเป็นสิวที่เดิมซ้ำ ๆ แบบนี้ ส่วนใหญ่สาเหตุมักจะมาจากการอุดตันของสิวซ้ำซ้อน เมื่อเป็นสิวแล้วหลายคนมักจะใช้ยาแต้มสิวให้มันยุบลงไป แต่ทั้งนี้ถึงแม้สิวจะยุบและหายก็จริง แต่ว่าความจริงแล้วไขมันก็ยังคงอุดตันอยู่ที่เดิม ไม่ถูกขับออก จึงทำให้เวลามันอักเสบขึ้นมาจึงขึ้นอยู่แต่ที่เดิม ๆ นั่นเอง ทั้งนี้หากใครที่กำลังเจอกับปัญหานี้อยู่ มาหาวิธีรักษาสิวให้ตรงจุดและถูกวิธีกันดีกว่าค่ะ ซึ่งในบทความนี้ก็มีวิธีจัดการกับสิวมาบอกสาว ๆ กันด้วยล่ะ ไปดูกันเลยว่ามีวิธีอะไรบ้าง

เป็นสิวที่เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไม่หายสักที สามารถรับมือได้ ด้วยวิธีเหล่านี้...
  • กดสิวให้ถูกวิธี
  • เมื่อสิวอักเสบขึ้นมาแล้ว สาว ๆ จะต้องกดสิวให้ถูกวิธี เพราะถ้ากดหรือบีบสิวไม่ถูกวิธี เอาเฉพาะแต่หนองออกมา แต่หัวสิวไม่ออก ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิวกลับขึ้นมาอักเสบที่เดิมอีกได้ ทั้งนี้การกดสิวที่ถูกวิธีก็คือ ก่อนกดสิวให้ประคบหัวสิวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น และใช้ที่กดสิวและเข็มเป็นตัวช่วย โดยก่อนกดสิวให้เช็ดอุปกรณ์ให้สะอาดด้วยแอลกอฮอล์ก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ เริ่มกดสิว โดยใช้เข็มสะกิดหัวสิวให้เปิดออกก่อน จากนั้นใช้ที่กดสิวเล็งให้หัวสิวอยู่บริเวณตรงกลางของห่วง ค่อย ๆ กดลงไปอย่างเบามือ เมื่อหัวสิวเริ่มออกมาแล้วให้ใช้เข็มสะกิดหัวสิวออกมาอีกที เสร็จแล้วให้ใช้สำลีชุบน้ำเกลือล้างแผลมาเช็ดทำความสะอาด สุดท้ายแต้มด้วยยาแต้มสิว เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีสิวอุดตันกลับมาเป็นซ้ำแล้วค่ะ


  • ล้างหน้าให้สะอาด
  • เมื่อสิวหายและยุบลงแล้ว ควรใส่ใจในเรื่องความสะอาดของใบหน้า โดยหมั่นล้างหน้าเป็นประจำ 1-2 ครั้งต่อวัน และจะต้องล้างหน้าให้สะอาดด้วยนะคะ เพราะไม่อย่างนั้นสิวอาจจะกลับมาขึ้นอักเสบอีกครั้ง และต้องปวดหัวกับการรักษาสิวอีกนาน ทางที่ดีควรล้างหน้าให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำยาล้างหน้าสูตรอ่อนโยน เพื่อป้องกันไว้จะดีที่สุดค่ะ
  • หลีกเลี่ยงใช้เครื่องสำอางที่จะก่อให้เกิดการอุดตันของสิว
  • ทุกวันนี้มีเครื่องสำอางให้สาว ๆ ได้เลือกใช้มากมาย แต่ทั้งนี้การใช้เครื่องสำอางแต่ละชิ้นจะต้องคำนึงถึงเรื่องการอุดตันของรูขุมขนบนใบหน้าด้วย เพราะนั่นคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย โดยวิธีการดูเครื่องสำอางนั้นก็ง่าย ๆ เลือกที่เป็นสูตร Oil-free ไว้ เพียงเท่านี้ก็มั่นใจในเบื้องต้นได้แล้วค่ะ


  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ในแต่ละวันสาว ๆ ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทางที่ดีควรเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม เพราะถ้าหากนอนไม่เพียงพอ บวกกับความเครียด ผิวก็จะกระตุ้นต่อมไขมันให้หลั่งไขมันออกมามากขึ้น ซึ่งจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่ายนั่นเอง
  • ไปหาหมอฉีดสิว
  • สำหรับใครที่ใจไม่กล้าพอที่จะกดสิวด้วยตัวเอง หรือกลัวว่าหน้าจะเป็นแผลเป็นหรือรอยหลุมสิว อีกทางเลือกหนึ่งก็คือไปหาหมอสิวเพื่อให้ฉีดสิว และกดหัวสิวออกมา วิธีนี้จะช่วยให้สิวหายเร็วได้ค่ะ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรที่จะฉีดสิวบ่อย ๆ โดยที่ไม่กดหัวสิวออกมา เพราะสิวอุดตันบริเวณนั้นมันอาจจะกลับมาอักเสบ และกลายเป็นสิวที่เดิมอีกครั้งได้

เรียนรู้วิธีรับมือกับสิวที่มักจะขึ้นแต่ที่เดิม ๆ กันไปแล้ว คราวนี้สาว ๆ ก็ไม่ต้องปวดหัวกันอีกแล้วล่ะค่ะ หากสิวมาเมื่อไรก็จัดการด้วยวิธีที่เอามาฝากกันได้เลย คราวนี้ล่ะ ! หมดปัญหาสิวขึ้นที่เดิมซ้ำ ๆ กวนใจแน่นอน

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีรักษาสิวอุดตัน 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ช่วยให้สิวหายเร็วทันใจ

วิธีรักษาสิวอุดตัน

สิวอุดตัน นับว่าเป็นสิวที่สร้างความรำคาญใจให้กับสาว ๆ ได้เป็นอย่างมาก และยิ่งอากาศร้อน ๆ แบบนี้เจ้าสิวตัวการก็มักจะผุดขึ้นมาให้เราเจ็บใจอยู่บ่อย ๆ และกว่าจะหายก็ต้องใช้เวลานาน แถมยังจะทำให้ใบหน้าสวย ๆ ของเรากลายเป็นถนนลูกรังขรุขระอีกต่างหาก ทั้งนี้ สำหรับสาเหตุที่หลาย ๆ คนเป็นสิวอุดตันกันบ่อย ๆ นั้น ก็มักจะเกิดจากการอุดตันของสิ่งสกปรกและไขมันส่วนเกินตามรูขุมขน ถึงแม้สิวลักษณะนี้จะเป็นสิวที่สงบเสงี่ยมหลบอยู่ภายใต้รูขุมขน แต่ถ้าได้อักเสบขึ้นมาเมื่อไรแล้วละก็ สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกัน และถ้าหากไม่รักษาให้ดี หน้าของสาว ๆ ก็อาจจะกลายเป็นหลุมสิวได้ ดังนั้นถ้าจะให้ดี สาว ๆ มาศึกษาวิธีรักษาสิวอุดตันเอาไว้จะดีกว่าค่ะ ง่าย ๆ เลย เพียงแค่ทำตาม 3 ขั้นตอนต่อไปนี้ รับรองว่าสิวอุดตันจะหายเร็วทันใจ และหน้าของคุณก็จะกลับมาสวยใสได้เหมือนเดิมค่ะ

3 ขั้นตอนรักษาสิวอุดตันแบบง่าย ๆ แค่ 3 ขั้นตอนนี้ ช่วยให้สิวหายเร็วทันใจได้อย่างแน่นอน

  • ขั้นตอนที่ 1 ใช้อุปกรณ์กดสิว
  • อันดับแรกให้จัดการสิวอุดตันด้วยที่กดสิว โดยให้เช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ด้วยแอลกอฮอล์เสียก่อน จากนั้นค่อย ๆ กดหัวสิวให้ออกมา


  • ขั้นตอนที่ 2 ใช้ครีมแต้มสิว
  • เมื่อกดหัวสิวออกมาเรียบร้อยแล้ว ให้แต้มยารักษาสิวตรงบริเวณที่เป็นสิว สำหรับยารักษาสิวนี้ให้เลือกสูตรสำหรับจัดการสิวอุดตันโดยเฉพาะ จะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น เพราะยาจะเข้าไปช่วยละลายสิวอุดตันที่ยังคงเหลือค้างอยู่ภายใต้รูขุมขน ทั้งนี้จะช่วยให้แผลหายเร็ว และช่วยให้รอยดำรอยแดงจากสิวจางลงได้ด้วย


  • ขั้นตอนที่ 3 รับประทานยารักษาสิว
  • ขั้นตอนนี้จะช่วยให้สิวหายได้เร็วยิ่งขึ้น โดยให้เลือกรับประทานยารักษาสิวกลุ่มเรตินอยด์ ซึ่งเป็นยาที่จะช่วยจัดการปัญหาสิวอุดตันได้โดยเฉพาะ กินแล้วจะช่วยให้แผลและรอยสิวหายเร็ว แถมยังจะช่วยลดปัญหาสิวอุดตันในอนาคตได้ด้วย

รู้จักวิธีการรักษาสิวอุดตันให้หายเร็วทันใจกันไปแล้ว ต่อไปสาว ๆ ก็ไม่ต้องกังวลใจกับเจ้าสิวตัวการนี้กันอีกแล้วค่ะ ผุดขึ้นมาเมื่อไรก็จะการซะให้เรียบ รับรองว่าหายเร็วทันใจ และหน้าของคุณก็จะกลับมาสวยใสได้ในเร็ววันอย่างแน่นอน

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิธีรักษาหลุมสิว รวม 5 วิธีรักษาหลุมสิวแบบธรรมชาติ ง่าย ๆ แต่ได้ผลจริง

สำหรับคนที่เป็นสิว ปัญหาหนึ่งที่ต้องเจอหลังจากสิวหายและทำให้หนักใจสุด ๆ ก็คือ "รอยหลุมสิว" นั่นเอง ซึ่งรอยหลุมสิวนี้เกิดขึ้นได้จากการที่ปล่อยให้สิวอักเสบลุกลามจนกินพื้นที่ลึกลงไปถึงใต้ผิวหนังชั้นใน ซึ่งหากบีบ หรือรักษาผิดวิธี หรือแม้กระทั่งปล่อยไว้ให้หายเองโดยไม่รักษาก็จะส่งผลให้เกิดพังผืดใต้รอยแผลเป็นจนทำให้หน้ากลายเป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนพื้นผิวดวงจันทร์นั่นเอง ซึ่งปัญหานี้หากเป็นแล้วรักษาได้ยาก กว่าจะหายก็ต้องใช้เวลานาน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะใช่ว่าจะไม่มีวิธีรักษาเลย

วิธีรักษาหลุมสิว

สำหรับวิธีรักษารอยหลุมสิวนั้น อย่างที่กล่าวไปข้างต้นคืออาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย แต่ถ้าหากปฏิบัติและรักษาเป็นประจำ รอยหลุมสิวก็จะค่อย ๆ จางลงจนหายได้ในที่สุด โดยวิธีรักษานั้นก็มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน บางคนอาจจะพึ่งทางการแพทย์อย่างการทำเลเซอร์ ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งวิธีนี้ก็ได้ผลดี หายเร็ว แต่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และนอกจากนี้ก็ยังมีวิธีรักษาหลุมสิวแบบธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งจะมีวิธีไหน ใช้อะไรรักษาได้บ้าง วันนี้มีข้อมูลมาฝากกันแล้วค่ะ ถ้าอยากหน้าใสเรียบเนียนไร้หลุมสิวเร็ว ๆ ละก็ รีบตามมาดูกันเลย...

รวมวิธีรักษาหลุมสิว วิธีรักษาหลุมสิวแบบธรรมชาติ ด้วยวัตถุดิบที่หาได้ง่าย ๆ จากในครัว จะมีอะไรบ้าง และต้องรักษายังไง ใครที่กำลังมีปัญหานี้ตามมาดูกันเลยค่ะ


  • ใบบัวบก
  • ใบบัวบก ถือเป็นสมุนไพรที่รักษารอยหลุมสิวได้อย่างมหัศจรรย์ เพราะสรรพคุณของใบบัวบกนั้นมีสารไกลโคไซด์ที่สามารถช่วยในการรักษาสิว และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญยังช่วยฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของชั้นผิวหนัง ทำให้ฟื้นฟูรอยแผล รอยหลุมสิวให้จางลงได้ สำหรับวิธีทำนั้นก็ง่ายมาก ๆ เลยค่ะ เพียงแค่นำใบบัวบกประมาณ 1 กำมือมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีแล้วล้างออก โดยให้ทำอย่างนี้เป็นประจำ รอยหลุมสิวจะค่อย ๆ จางลงอย่างเห็นได้ชัด
  • หอมแดงและมะนาว
  • นำหอมแดงมาฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ทุบเบา ๆ ให้น้ำหอมแดงออกมา จากนั้นบีบน้ำมะนาวใส่หอมแดงที่ฝานเอาไว้ เสร็จแล้วให้นำหอมแดงมาโปะทิ้งไว้บริเวณผิวหนังที่เป็นรอยหลุมสิว ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างออก สูตรนี้ให้ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง รอยหลุมสิวจะค่อย ๆ จางลง เพราะในหอมแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฟื้นฟูรอยหลุมสิว รวมถึงมะนาวก็ยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ และมีวิตามินซีสูง สามารถช่วยรักษาพวกริ้วรอยจากสิว และรอยหลุมสิวได้ดี


  • มะละกอสุก
  • สำหรับใครที่มีปัญหารอยหลุมสิวไม่ลึก มะละกอสุกเป็นตัวช่วยอย่างดีเลยล่ะค่ะ เพราะในมะละกอสุกนั้นจะมีเอ็นไซม์ที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออก รวมถึงยังมีสรรพคุณช่วยสมานแผลได้ดี ดังนั้นจึงเป็นผลไม้ที่จะช่วยแก้ปัญหารอยหลุมสิวได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว โดยวิธีทำให้นำมะละกอสุกมาปอกเปลือกออก ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาบดให้ละเอียด จากนั้นให้นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด เมื่อทำเป็นประจำรอยหลุมสิวก็จะค่อย ๆ จางลง
  • ว่านหางจระเข้
  • ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณช่วยบำรุงรักษาผิว ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และนอกจากนี้คุณสมบัติของว่านหางจระเข้ที่สำคัญอีกอย่างก็คือช่วยสมานผิวได้ดี ช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังหดตัว และป้องกันการอักเสบ ดังนั้นใครที่มีปัญหารอยหลุมสิวว่านหางจระเข้ช่วยคุณได้ค่ะ โดยให้นำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกออกเอาแต่วุ้นใส ๆ จากนั้นนำไปล้างให้สะอาด แล้วนำมาบดให้ละเอียด เสร็จแล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างออก โดยให้ทำเป็นประจำ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง นอกจากรอยหลุมสิวจะดูจางลงแล้ว สุขภาพผิวหน้าของคุณจะดีขึ้นด้วย


  • น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
  • น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ก็ถือเป็นผู้ช่วยแก้ปัญหารอยหลุมสิวได้ดีเลยทีเดียว เพราะในน้ำมันมะพร้าวจะมีกรดลอริกช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยให้รอยหลุมสิวอ่อนนุ่มและจางลงได้ด้วย โดยหลังจากล้างหน้าก่อนนอนให้ทาน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้จนเช้าโดยไม่ต้องล้างออก สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ปัญหารอยหลุมสิวค่อย ๆ ดีขึ้น นอกจากนี้ยังจะช่วยลดปัญหาสิว และทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย

การรักษาหลุมสิวให้หายนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา แต่ก็หายได้ แต่ทางที่ดีเราควรป้องกันไม่ให้เกิดรอยหลุมสิวตั้งแต่แรกจะดีที่สุด โดยสิ่งที่ควรทำก็คือพยายามไม่ให้เป็นสิวอักเสบลุกลาม หรือถ้าเป็นแล้วก็ควรรีบรักษาให้สิวหายเร็ว ๆ อย่าบีบหรืออย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะถ้าขืนชักช้าเกินไปคุณอาจมีหลุมสิวอยู่บนใบหน้าแล้วก็เป็นได้ ทีนี้แหละอาจจะต้องรักษารอยหลุมสิวกันอีกนานเลยทีเดียวกว่าใบหน้าของคุณจะกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง ดังนั้นท่องไว้เลยว่าป้องกันไว้ก่อนจะดีที่สุด

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

8 สูตรกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูก ที่คุณควรจะรู้ไว้ เพื่อหน้าสวยใสไร้สิว!

ปัญหาเรื่องความงามสำหรับผู้หญิง เชื่อแน่ว่าเกินกว่าครึ่งจะต้องปวดหัวกับการหาวิธีกำจัดสิวเสี้ยนดำ ๆ ตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้ากันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะบริเวณจมูก ที่ดูเหมือนว่าจะเห็นชัดและโดดเด่นกว่าใครเพื่อน ทั้งนี้จะปล่อยไว้ก็คงดูไม่ดี ดังนั้นเรามาหาวิธีจัดการกับสิ้วเสี้ยนกันดีกว่าค่ะสาว ๆ ซึ่งบทความนี้ได้รวบรวมสูตรเด็ดสำหรับกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกมาให้คุณได้ลองทำตามกันแล้ว หากชอบสูตรไหนก็เลือกเอาไปใช้กันได้เลย รับรองสิวเสี้ยนหายเกลี้ยงไม่มากวนใจอย่างแน่นอน ไปดูกัน !

สูตรกำจัดสิวเสี้ยน

เปิดสูตรกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูก รวมวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยขจัดสิวเสี้ยนให้หายเกลี้ยง ใครที่กำลังมองหาวิธีกำจัดสิวเสี้ยนกันอยู่ ลองมาดูแล้วทำตามกันเลย...

  • สูตรที่ 1 ไข่ขาว น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว
  • นำไข่ไก่ 1 ฟองมาตอกใส่ถ้วย แยกไข่ขาวและไข่แดงออกจากกัน (ใช้แต่ไข่ขาว) จากนั้นให้ผสมน้ำผึ้ง และน้ำมะนาวลงไป ตีให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น แล้วนำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาทาที่บริเวณจมูก ใช้สำลีแผ่นบาง ๆ มาแปะทับลงไปบนบริเวณที่ทาไข่ขาว เสร็จแล้วทาไข่ขาวทับอีกที รอจนสำลีแห้งสนิท แล้วค่อย ๆ ลอกสำลีจากล่างขึ้นบน สิวเสี้ยนจะหลุดออกมา จากนั้นให้ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขน ซึ่งสูตรนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละครั้ง
  • สูตรที่ 2 มะขามเปียก กับน้ำมะนาว
  • นำมะขามเปียกมาละลายน้ำพอข้น ๆ บีบน้ำมะนาวผสมลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากัน จากนั้นให้นำมาทาบริเวณจมูก ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก สูตรนี้ให้ทำเป็นประจำ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและทำให้สิวเสี้ยนลดลงได้ดี

  • สูตรที่ 3 เบกกิ้งโซดา กับน้ำมะนาว
  • เริ่มจากบีบน้ำมะนาวใส่ถ้วย จากนั้นใส่เบกกิ้งโซดาผสมลงไป คนให้เข้ากันจนได้เนื้อครีมข้น ๆ จากนั้นให้นำมาพอกไว้ที่จมูก หรือบริเวณที่มีสิวเสี้ยน ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้ทำบ่อย ๆ จะช่วยให้สิวเสี้ยนหายเกลี้ยงได้ง่าย ๆ แถมยังทำให้จมูกเรียบเนียนขึ้นอีกด้วย
  • สูตรที่ 4 เกลือเม็ดละเอียด น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว
  • เริ่มจากนำผ้าขนหนูผืนบาง ๆ ไปชุบน้ำอุ่น บิดให้หมาดแล้วนำมาโปะที่บริเวณจมูกทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขน จากนั้นให้ผสมเกลือเม็ดละเอียด เข้ากับน้ำผึ้ง และน้ำมะนาว เมื่อคนเข้ากันแล้วให้นำมานวดและขัดที่บริเวณจมูกอย่างเบามือประมาณ 5 นาที แล้วค่อยใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกเบา ๆ ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็น สูตรนี้ให้ทำสัปดาห์ละครั้ง สิวเสี้ยนจะค่อย ๆ หายไป

  • สูตรที่ 5 น้ำผึ้ง
  • ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด นำน้ำผึ้งมาทาและนวดคลึง ๆ ที่บริเวณจมูก จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก สูตรนี้ให้ทำเป็นประจำ น้ำผึ้งจะช่วยกำจัดสิวเสี้ยนให้หายไป และช่วยให้ผิวนุ่มขึ้นด้วย
  • สูตรที่ 6 ดินสอพอง ขมิ้นชัน และน้ำมะนาว
  • นำดินสอพองมาละลายกับน้ำอุ่น ผสมผงขมิ้นชัน และน้ำมะนาวลงไป คนให้เข้ากันจะได้เนื้อครีมข้น ๆ จากนั้นให้นำมาทาที่บริเวณจมูก รอจนเนื้อครีมแห้ง ล้างออกให้สะอาด แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดเบา ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน สูตรนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง สิวเสี้ยนจะค่อย ๆ หลุดและหายไปเอง

  • สูตรที่ 7 ข้าวโอ๊ตกับน้ำกุหลาบ
  • บดข้าวโอ๊ตให้เป็นเนื้อละเอียด ผสมน้ำกุหลาบลงไป พอให้ได้เนื้อข้น ๆ จากนั้นให้นำส่วนผสมที่ได้มาทาที่จมูก ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยกำจัดสิวเสี้ยนที่มีอยู่แล้วให้หายไป อีกทั้งยังจะช่วยป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนใหม่อีกด้วย
  • สูตรที่ 8 นมสด กับผงเจลาติน
  • ผสมนมสดกับผงเจลาตินในถ้วยกระเบื้องในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ให้เข้ากัน เสร็จแล้วให้นำเข้าไปอบในไมโครเวฟ โดยใช้ความร้อนปานกลางประมาณ 30 วินาที เมื่อละลายแล้วให้นำออกมาคนและพักไว้จนหายร้อน จากนั้นให้ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด นำส่วนผสมที่ได้มาทาบาง ๆ ทิ้งไว้บริเวณจมูก รอจนแห้ง แล้วค่อย ๆ ลอกจากล่างขึ้นบน สิวเสี้ยนจะหลุดออกมา เสร็จแล้วให้ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็น สูตรนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละครั้งค่ะ

สูตรกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกทั้ง 8 สูตรนี้ คัดมาแล้วว่าเด็ดจริง แถมยังทำได้ง่าย ๆ รับรองว่าแค่ทำตามนี้สิวเสี้ยนหายวับ ไม่มีเหลือให้กวนใจสาว ๆ อย่างแน่นอนค่ะ

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รวม 5 เคล็ดลับเพื่อผิวสวยใส เคล็ดลับง่ายๆที่คุณทำได้ทันที!!

ใบหน้าถือเป็นส่วนที่มีความสำคัญกับคนทุกคน เพราะการที่เราจะทำความรู้จักกับใครสักคน ก็ต้องมองและจดจำใบหน้าของคนๆนั้น เพื่อเป็นการสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกพบ เราจึงต้องมีการดูแลผิวหน้าให้ขาวใส ไร้สิว ไร้ริ้วรอย แต่จะมีสักกี่คนกันที่ดูแลผิวหน้าได้อย่างถูกวิธี เพราะเชื่อว่าสมัยนี้สาว ๆ ทำงานหนักจนละเลยการดูแลผิวหน้า ซึ่งอันที่จริงแล้วการบำรุงรักษาใบหน้าของเราให้เรียบเรียนไร้ปัญหามากวนใจนั้นไม่ใช่แค่การทาครีมบำรุงผิวเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงวิธีดูแลผิวหน้าที่ถูกต้องด้วย

เคล็ดลับเพื่อผิวสวยใส

บทความนี้จึงได้นำเคล็ดลับเพื่อผิวสวยใส เคล็ดลับง่ายๆที่คุณทำได้ทันที!! ซึ่งเป็นวิธีดูแลผิวหน้าง่าย ๆ ที่ทำสามารถทำได้ด้วยตนเอง ว่าแต่จะมีวิธีอะไรบ้างนั้น เรามาดูกันเลยค่ะ

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับใบหน้า
  2. ผิวหน้าของเราอาจเผชิญกับหลายสิ่งที่มองไม่เห็น และสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นตัวการทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดูแลผิวหน้าให้ดี โดยเริ่มต้นจากการล้างหน้า เพราะสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง และความมันที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้าอาจไปอุดตันรูขุมขน ทำให้ผิวดูหยาบ ไม่เรียบเนียน และดูอิดโรย

    • ก่อนจะเริ่มขั้นตอนการดูแลผิวหน้า คุณต้องล้างมือให้สะอาดก่อนเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกสัมผัสผิวหน้าของคุณมากขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการเอามือสัมผัสใบหน้าเท่าที่จะทำได้ เพราะทุกๆ ครั้งที่มือสัมผัสใบหน้าของคุณ โอกาสที่สิ่งแปลกปลอมจะสัมผัสโดนผิวหน้าของคุณก็ยิ่งมีมากขึ้น
    • ล้างหรือเช็ดทำความสะอาดแปรงแต่งหน้า โทรศัพท์ตั้งโต๊ะ โทรศัพท์มือถือ หรืออะไรก็ตามที่มีโอกาสสัมผัสกับผิวหน้าของคุณให้สะอาดอยู่เสมอ

  3. ระวังแสงแดดจ้า
  4. รังสียูวีบีจากดวงอาทิตย์ไม่เพียงเผาไหม้ทำร้ายผิวหนังเท่านั้น แต่รังสียูวีเอจากแสงแดดยังทำให้ผิวเหี่ยวย่นแลดูมีอายุด้วย โรคมะเร็งผิวหนังที่ทุกคนควรพึงระวังก็มีสาเหตุหลักมาจากแสงแดด ซึ่งทำให้ผิวเกิดจุดดำๆ ผิวเปลี่ยนสี เกิดกระ ริ้วรอยตื้นๆ หรือริ้วรอยหนาลึก อีกทั้งแสงแดดยังเข้าไปทำลายเส้นใยอิลาสตินและคอลลาเจนและทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถป้องกันได้หากเราให้ความใส่ใจและระมัดระวังอยู่เสมอ

    • ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดเสมอ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดด (SPF: Sun Protection Factor) มีมากมายทั้งครีมบำรุงผิวหน้ายามกลางวัน โลชั่นทาผิว เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ฯลฯ คุณอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าเอสพีเอฟ 30 ขึ้นไปสำหรับการปกป้องระหว่างวัน โดยควรใช้ตามคำแนะนำที่ปรากฏอยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์ด้วย หากคุณจะไปว่ายน้ำหรือต้องออกแรงจนเสียเหงื่อเยอะ ให้ใช้ครีมกันแดดที่กันน้ำได้ โดยควรทาซ้ำเรื่อยๆ ตลอดทั้งวันเพื่อการปกป้องผิวอย่างสมบูรณ์
    • ปกปิดร่างกายให้มิดชิดเมื่อต้องออกแดด โดยอาจจะเลือกสวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดอันใหญ่ ถุงมือ หรือแม้กระทั่งอาศัยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เพื่อหลบแดด
    • ควรเริ่มใช้ครีมกันแดดตั้งแต่อายุน้อยๆ เพราะมันจะช่วยปกป้องผิวคุณตั้งแต่เยาว์วัย และถ้าคุณเริ่มใช้เร็ว มันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของคุณโดยที่คุณไม่ทันสังเกตเลย

  5. สครับผิวให้กระจ่างใส
  6. หากคุณอยากขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป คุณก็ต้องสครับผิว ตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น ร่างกายของเราจะผลัดเซลล์ผิวทุกๆ 2 สัปดาห์โดยประมาณ แต่เมื่อเราโตขึ้น กระบวนการนี้จะค่อยๆ ช้าลงและช้าลง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีตัวช่วยที่ดี นั่นก็คือสครับขัดผิว ไม่เพียงแต่สครับคุณภาพดีจะเผยเซลล์ผิวอ่อนเยาว์ที่อยู่ภายใต้เซลล์ผิวที่ตายแล้วเท่านั้น แต่สครับเหล่านี้ยังช่วยให้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าสามารถซึมซาบเข้าไปในเซลล์ผิว เพื่อบำรุงดูแลผิวหน้าของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

    • สครับขัดผิวจากสารธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า แมนวลสครับ อาทิ เฮอร์บาไลฟ์ อิสสแตนท์ รีวิล เบอร์รี่ สครับ ประกอบด้วย อนุภาคที่ช่วยในการสครับผิว ได้แก่ เมล็ดบลูเบอร์รี่ เม็ดบีดส์โจโจ้บา นัทเชลส์ น้ำตาล และเกลือ อนุภาคเล็กๆ เหล่านี้ เมื่อนวดเบาๆ บนผิวแล้ว จะช่วยผลัดชั้นของเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป
    • สครับผิวจากสารเคมี มักมีส่วนผสมของกรดไกลโคลิค กรดซาลิไซลิค และกรดแลคติค ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผิวทุกประเภท โดยเฉพาะผิวแพ้ง่ายที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
    • ทุกคนสามารถมีผิวที่กระจ่างใสขึ้นได้ด้วยสครับ คุณอาจจะสครับผิวสัก 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และอย่าลืมอ่านคำแนะนำก่อนใช้ด้วยล่ะ

  7. เติมความชุ่มชื้นให้ผิวตลอดวัน
  8. เมื่อไหร่ก็ตามที่ผิวของคุณมีน้ำชุ่มชื้น ใบหน้าคุณจะดูอ่อนเยาว์และกระจ่างใสขึ้น คุณจึงควรมีมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นในช่วงกลางวันและครีมบำรุงผิวเนื้อเข้มข้นในยามกลางคืน เพื่อช่วยสร้างเกราะป้องกันความชุ่มชื้นของผิวและบำรุงผิวตลอด 24 ชั่วโมง มอยส์เจอร์ไรเซอร์ไม่ได้จำเป็นสำหรับผิวหน้าเท่านั้น แต่มันยังจำเป็นสำหรับผิวกายของคุณด้วย เราทุกคนจึงควรให้ความสำคัญกับการบำรุงผิวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราที่ขาดไม่ได้

    • คุณควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวหน้าที่ผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้ว โดยเน้นการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนาน 8 ชั่วโมงหรือมากกว่า และช่วยลดริ้วรอยบางๆ ไปจนถึงริ้วรอยลึก
    • การเติมความชุ่มชื้นให้ผิวในยามกลางคืนมีความสำคัญมากๆ เช่นเดียวกับการบำรุงผิวในยามกลางวัน คุณจึงไม่ควรเข้านอนโดยปราศจากไนท์ครีมเนื้อเข้มข้นที่จะช่วยฟื้นคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวในระหว่างที่คุณหลับ

  9. ยิ้มเข้าไว้
  10. โดยทางเทคนิคแล้ว นี่อาจไม่ใช้เคล็ดลับของการดูแลผิวโดยตรง แต่ถ้าคิดดูให้ดี หากเรานึกถึงดวงตา ริมฝีปาก เซรั่มบำรุงผิวและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวคุณภาพเยี่ยมทั้งหลายที่จะช่วยให้เราดูดีขึ้น เชื่อเถอะว่ารอยยิ้มที่เปล่งความงามของใบหน้า ทั้งดวงตาที่เป็นประกาย และริมฝีปากที่แย้มยิ้ม จะช่วยให้คุณดูดีมากกว่าผลิตภัณฑ์ใดๆ จะทำได้ นั่นเพราะรอยยิ้มทำให้คุณดูมีความสุข มีจิตใจที่ร่าเริงสดใส และยังทำให้คุณดูเด็กลงอีกด้วยนะ

เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ทั้งง่าย ทำได้จริง และยังทรงประสิทธิภาพด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่คุณมุ่งมั่นที่จะบำรุงดูแลผิวพรรณอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีข้อยกเว้น Jacquie สรุปไว้อย่างน่าสนใจว่า “การดูแลผิวเป็นสิ่งที่เราควรทำทุกๆ วัน และห้ามมีข้อแก้ตัวเด็ดขาด ไม่ว่าจะผู้ชาย ผู้หญิง หรือวัยรุ่นก็ควรต้องดูแลผิวพรรณของตัวเองให้ดูดี การดูแลผิวนั้นสำคัญพอๆ กับที่เราต้องอาบน้ำและแปรงฟันทุกวัน ซึ่งมันก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง และเมื่อคุณได้เริ่มลองทำและเห็นผลลัพธ์บ้างแล้วล่ะก็ มันจะกลายเป็นเรื่องเคยชินสำหรับคุณไปโดยปริยาย ผิวหนังคืออวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายและเป็นอวัยวะที่เสื่อมลงได้เร็วกว่าอวัยวะอื่นๆของร่างกาย เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องดูแลผิวของเราให้ดีตลอดเวลาทุกวัน!” เมื่อเรามีเคล็ดลับเด็ดๆ อยู่ในมือแล้ว จะมัวรอช้าอยู่ใย มาเริ่มดูแลผิวให้สวยเริ่ดกันเลยดีกว่า…

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

7 ข้อดีของการอาบน้ำเย็น ถึงจะหนาวไปนิด แต่รับรองว่าดีกับสุขภาพชัวร์

ข้อดีของการอาบน้ำเย็น

ใกล้ฤดูหนาวเข้ามาทุกที บางพื้นที่ก็คงมีอากาศเย็นในช่วงเช้ากันแล้วใช่ไหมล่ะคะ และปัญหาใหญ่ในช่วงอากาศหนาว ๆ ก็คือ การอาบน้ำเย็น เพราะกว่าจะทำใจอาบได้แต่ละทีก็ต้องใช้เวลา แถมบางทีก็รู้สึกหนาวจนไม่อยากอาบน้ำ เลยพาลทำให้วันนี้ก็ซักแห้งไปเสียเลย แต่รู้หรือเปล่าว่าการอาบน้ำเย็นเนี่ยมีประโยชน์มากเลยนะ ถึงแม้ว่าจะหนาวไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็ส่งผลดีกับสุขภาพร่างกายของเราได้อย่างคาดไม่ถึง ในบทความนี้เราได้นำประโยชน์ดี ๆ ของการอาบน้ำเย็นมาบอกเล่าให้ฟังกัน ใครที่ไม่ชอบอาบน้ำเย็นต้องเปลี่ยนมุมมองแล้วล่ะ

7 ข้อดีของการอาบน้ำเย็น เพื่อผิวสวยสุขภาพดี
  • เพิ่มระบบการเผาผลาญ
  • ตามธรรมชาติแล้วเมื่อร่างกายของเราสัมผัสกับความหนาวเย็น ความหนาวเย็นนั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตไขมันสีน้ำตาลซึ่งเป็นไขมันที่ใช้ในการเผาผลาญพลังงาน ยิ่งมีเจ้าไขมันชนิดนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะช่วยให้เผาผลาญแคลอรี่ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ลดน้ำหนักได้ โดยเมื่อรางกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นแล้ว ก็จะทำให้ความดันโลหิตและอุณหภูมิในร่างกายของเราสูงขึ้น
  • ร่างกายสร้างฮอร์โมนเพิ่มขึ้น
  • อาจจะมีหนุ่ม ๆ หลายคนที่ไม่ชอบอาบน้ำเย็น แต่เชื่อเถอะค่ะว่าการอาบน้ำเย็นน่ะดีจริง ๆ เพราะมีการศึกษาในปี 1993 พบว่า การอาบน้ำเย็นนั้นช่วยให้ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายเพิ่ม แถมยังมีการวิจัยเพิ่มเติมแสดงให้เห็นอีกว่าการอาบน้ำเย็นช่วยทำให้ปริมาณของอสุจิเพิ่มขึ้น ในขณะที่การอาบน้ำอุ่นทำให้จำนวนอสุจิลดลงซะอีก


  • ช่วยลดภาวะซึมเศร้า
  • เชื่อหรือไม่ว่า แค่เพียงอาบน้ำเย็นก็ช่วยลดภาวะซึมเศร้าได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อน้ำเย็นกระทบกับผิวแล้วมันจะส่งแรงกระตุ้นจำนวนมากจากปลายประสาทไปสู่สมอง ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกับการยารักษาโรคซึมเศร้าเลยเชียว โดยจะทำให้ผู้ป่วยสงบจิตใจลงและลดอาการซึมเศร้าได้
  • บำรุงผมและผิวพรรณ
  • คงมีสาว ๆ จำนวนไม่น้อยเลยล่ะที่รักผมมากจนไม่ยอมให้ผมผ่านความร้อนใด ๆ แต่กลับสระผมด้วยน้ำอุ่น ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วน้ำอุ่นนี่ล่ะตัวร้ายเลย เพราะการสระผมด้วยน้ำอุ่นจะทำให้หนังศีรษะแห้งจนลอกเป็นขุยและกลายเป็นรังแคมากวนใจในที่่สุด ในขณะที่การอาบน้ำอุ่นก็ให้ผลกับผิวพรรณไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้นและทำให้หิวแห้ง ดังนั้นทางที่ดีควรจะอาบน้ำและสระผมด้วยน้ำเย็นจะดีกว่า เพื่อที่ความชุ่มชื้นจะได้คงอยู่ในผิว แถมยังทำให้ผมมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย
  • ช่วยทำให้มีแรง
  • การอาบน้ำเย็นช่วยทำให้เราตื่นได้เต็มตาไม่ต่างจากการดื่มกาแฟเลย เพราะการอาบน้ำเย็นจะช่วยไปกระตุ้นประสาทส่วนต่าง ๆ ในร่างกายที่ยังทำงานไม่เต็มที่ให้ทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจให้ดีขึ้นอีกด้วย ถ้าใครที่รู้สึกว่าการตื่นนอนตอนเช้ามันยากเย็นนักละก็ ลองลุกขึ้นมาอาบน้ำเย็นในตอนเช้าดูสิคะ รับรองว่าเห็นผลแน่นอน


  • ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
  • นอกจากจะช่วยให้ตื่นตัวแล้ว การอาบน้ำเย็นยังช่วยทำให้นอนหลับได้สบายอีกด้วยนะเพราะหลังจากที่ร่างกายตื่นตัวด้วยน้ำเย็นแล้ว หลังจากนั้นร่างกายของเราก็จะผ่อนคลายและสงบลง ทำให้เรานอนหลับได้ดีขึ้นและยาวนานขึ้น ใครทำกำลังเป็นโรคนอนไม่หลับขอแนะนำให้อาบน้ำเย็นทุกวันก่อนนอนดีที่สุด
  • ป้องกันความเครียด
  • การอาบน้ำเย็นไม่เพียงช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย แต่ยังช่วยป้องกันความเครียด ซึ่งจะไปช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแนะนำให้อาบน้ำเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวดเรื้อรังและอาการอักเสบอีกด้วย ถึงแม้ว่าการอาบน้ำเย็นจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไรในช่วงอากาศหนาว แต่เชื่อเถอะค่ะว่ามันมีประโยชน์มากมายจริง ๆ ถึงแม้เราอาจจะรู้สึกหนาวจนสั่นเวลาอาบน้ำ แต่พออาบเสร็จแล้วเราจะรู้สึกอุ่นขึ้นมาในทันทีเลย ไม่เชื่อกันใช่ไหมล่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นลองทำดูสักวันสิ จะเป็นตอนเช้าหรือตอนเย็นก็ได้ รับรองว่าได้ผลดีต่อสุขภาพแน่นอนเลย